The Most Favorite 10 อันดับหนัง 2018

10. Aquaman
ยอมรับว่าหนังไม่ได้ perfect อะไรเลย การตัดต่อดำเนินเรื่องและบทที่สะเปะสะปะและลิเกไปหน่อย แต่...ผมชอบ เพราะมันให้อารมณ์เหมือนดูการ์ตูนสมัยก่อนๆอย่างพวก Thundercat Heman อะไรทำนองนี้คือ ผกก. เจมส์ วาน รู้ตัวว่ากรูไม่สนว่า Aquaman จะถูกจริตใครอะไรยังไง ขอแค่ให้หนังมันสนุก และหนังมันก็สนุกจริงๆ การที่ทำให้ตัวละครอย่าง Aquaman badass ได้นี้มันก็ถือว่าผ่านสำหรับผมแล้วล่ะ



9. Paddington 2
ดูหนังเรื่องนี้ มันให้อารมณ์นึกถึงตอนดูหนังครอบครัวสมัยเด็กๆ Home Alone, Matilda, A Christmas Story มันทั้งสนุก ดูเพลินๆและอบอุ่นหัวใจ



8. Avengers Infinity Wars
ตอนแรกก็คิดอยู่ว่า มันจะทำได้ยังไงว้า ในการที่เอาตัวละคร superhero เป็นสิบๆตัวมายัดรวมกันเป็นหนังเรื่องเดียว 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ ผกก.พี่น้อง Russo ทำได้ และทำได้ดีมากๆด้วย โดยการทำเป็นหนัง Thanos The Movie ซะเลย และมันเป็น way of work ที่บรรเจิดสุดๆ ทำให้ Avengers Infinity Wars ประสบความสำเร็จขนาดนี้ แถมด้วยฉากจบที่ค้างคาใจคนดู ต้องมานั่งดูภาค 4 อีกให้ตายสิ




7. Black Panther
ถ้ามองผ่านบทเนื้อเรื่องทีไม่ได้แปลกใหม่อะไร เจ้าชายดินแดนหนึ่งโดนพระอนุชาต่างมารดาแย่งบัลลังค์ไปได้ แล้วสุดท้ายก็กลับมากอบกู้อาณาจักร (ฮัลโหล Simba) แต่ถ้ามองข้ามประเด็นนี้จริงๆหนังนำเสนออะไรหลายอย่างในมุมมองเรื่องของ Afrofuturism ได้ดีมากๆ ผมชอบในการที่ได้เห็น gadget หรือชีวิตความเป็นอยู่ของชาววากานด้า บรรดาเหล่า futuristic nigga ว่าเป็นยังไงประกอบกับนำเสนอ Art Direction ประเด็นนี้ได้ดี โอเคถ้านอกจากบทโดยรวมที่ออกจะเชยไปหน่อย แต่หนังก็สนุก



6. Mission Impossible : Fallout
เป็นภาคที่ดีที่สุดในบรรดาหนัง Mission Impossible ที่มีมา ไม่มีอะไรพูดมากหนังสนุกบทสายลับเล่นหักหลังเซอร์ไพร์สคนดูทั้งท่าง่ายท่ายาก ทำเอาดูแล้วลุ้นไปตั้งแต่ต้นยันจบ




5. Spiderman Into Spiderverse
หนังอนิเมชั่นที่ชอบมากสุดในปี 2018 (ถึงแม้เพิ่งดูสัปดาห์ก่อนปี 2019 รอบ Pre-Screening แต่ผมยึดเอาตาม Wide Release Date ดังนั้นผมก็จะจัดหนังเรื่องนี้อยู่ในปี 2018) ชอบงานภาพเรื่องนี้มากๆๆๆๆๆ มีการเอาจับตัวละครในโลก Spiderman มาใช้ได้แปลกใหม่ เหมาะสมดี นึกไม่ถึงว่าการได้เห็น Spiderverse ออกมาโลดเล่นบนจอภาพยนตร์มันทำได้ดีขนาดนี้ ถ้ามีภาคต่อหวังว่าจะหยิบเอาเนื้อเรื่อง Spider Island มาทำต่อนะ



4. A Quiet Place
ความเงียบคือประสบการณ์ของหนังเรื่องนี้ ที่ผมดูในโรงและเพิ่งได้ประสบพบเจอกับการที่คนดูเต็มโรงและพร้อมใจไม่ส่งเสียงซักแอะเลย เพราะทุกคนมีสมาธิและลุ้นไปกับหนังจนจบเรื่อง มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และแสดงให้เห็นว่าหนังมันเล่าเรื่องดีขนาดไหน



3. Roma
ที่ผมชอบมากๆในหนังเรื่องนี้ เพราะงานกำกับและถ่ายภาพโดยเฉพาะเลยจริงๆ เสมือนเราได้ immerse ตัวเองไปส่องชีวิตชาวบ้านธรรมดาๆ ความเรียบง่ายลงตัวแต่แฝงแง่คิดในตัวหนัง มันทำให้ผมเข้าใจในตัวละครที่พยายามดิ้นรนใช้ชีวิตผ่านอุปสรรคไปวันๆ เป็นวัฏจักรฟ้าหลังฝน ทุกอย่างถึงแม้มีสิ่งร้ายมาสร้างบาดแผลให้เราอยู่เรื่อยๆแต่เดี๋ยวก็มีสิ่งดีๆเข้ามาเช่นกัน



2. A Star is Born
หนังเรื่องเดียวในปีนี้ที่ทำผมน้ำตาซึม หนังดีเพลงเพราะ และยอมใจให้กับการแสดงทั้งตัวพระเอก Bradley Cooper และนางเอก Lady Gaga จริงๆ



1. Hereditary
ไม่มีหนังเรื่องไหนที่ดูแล้วหดหู่เท่าที่ดูมาในรอบหลายๆปี หนังทั้งแฝงด้วยความน่ากลัวและประเด็นลึกลับไปตลอดทาง เหมือนกำลังนั่งอ่านนิยายสยองขวัญ ถึงแม้หลายคนไม่ชอบที่หนังมันเล่าเรื่องช้า เนิบๆ ไปเรื่อยๆ แต่ผมว่านี่แหละหนังลึกลับสยองขวัญมันควรต้องเป็นแบบนี้และมันเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในหนังสยองขวัญปัจจุบันจริงๆ ไม่ใช่เจอแต่ Jump Scare ตุ้งแช่ๆ แล้วหมุนกล้องซูมไปซูมมาเวียนหัว ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำฉากให้น่ากลัว คือ Hereditary ไม่มีอะไรแบบนี้เลย เป็นหนังครอบครัวที่กำลังพังทลายบนฉากธรรมดาๆ หมุนกล้องแบบค่อยๆแพนกล้องไปเรื่อยๆ เสมือนเรานั่งดูนิทรรศการเล่าเรื่องโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่ง แต่มันทำให้ผมดูลุ้นและบีบหัวใจไปตลอดเพราะไม่รู้อะไรเลยจริงว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น มันเหมือนมีปีศาจเอามีดจ่อคอหอยตัวละครตลอดเวลาแล้วเรามองมันไม่เห็น หนังพยายามสื่อให้เห็นปีศาจร้ายที่แฝงอยู่ในตัวคนมากกว่า supernatural ที่มาจากไหนไม่รู้ ที่ต้องชมมากๆคือนักแสดงที่รับบทเป็นแม่ Toni Collette แสดงดีมากๆจนแบบ เธอ...เข้าชิงออสการ์เถอะ ฉากทะเลาะกันบนโต๊ะอาหารนี่ตราตรึงจริงๆ