Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
Review ควบ 2 : Doraemon Movie 2020 & Kimetsu no Yaiba Movie

Reply
Vote
# Thu 26 Nov 2020 : 1:56PM

Soma555
member
Movie Previewer
Since 9/9/2008
(2558 post)


Review : Eiga Doraemon: Nobita no Shin Kyoryu (Doraemon Movie 2020)

เชื่อว่าหลาย ๆ คนไปดูภาคนี้กันด้วยเหตุผลการถูกโปรโมทว่ามันคือภาคต่อของ ไดโนเสาร์ของโนบิตะ กันอย่างแน่นอน ฝั่งผมก็เช่นกัน แต่หลังจากดูจบคิดว่าคุณค่าของหนังมันมีมากกว่านั้น และคนที่หวังว่าความเป็น "ภาคต่อ" คือหัวใจหลักของมันก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะมันแทบมาในรูปแบบของฉากแฟนเซอร์วิสด้วยซ้ำ

โดราเอม่อนมูฟวี่ที่เป็นเนื้อหาออริจินอลของทีมใหม่ ไม่ใช่การแต่งเรื่องของอาจารย์ฟูจิโกะ F ฟูจิโอะ มักจะมีปัญหาในเรื่องของประเด็นที่ใส่มาเยอะและเดินเรื่องสะเปะสะปะ ทำให้บางภาคประเด็นหลักมันน่าสนใจ แต่การเดินเรื่องพาดิ่งลงเหว แต่ว่าไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะไม่ใช่แบบนั้น ภาคนี้มีประเด็นใหญ่อยู่อันเดียวนั่นคือ วิวัฒนาการ และมันก็ดำเนินเรื่องประเด็นนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ และยังทำได้ดีมาก มันเหมือนกระบกเสียงไปสู่คนที่คิดว่าตัวเองไม่เอาไหน ชีวิตทำอะไรก็ไม่ดี ให้ลองลุกขึ้นทำอะไรสักอย่าง โดยการให้ตัวละครไดโนเสาร์อย่างคิว และ มิว มาเป็นแกนหลักของเรื่อง ยังช่วยเพิ่มสตอรี่เรื่องราวของโนบิตะให้แข็งแกร่งมากขึ้นด้วย เพราะภาคนี้คุณจะเห็นมุมมองที่มีความเป็นมนุษย์ของโนบิตะ เมื่อผสานเข้ากับประเด็นใหญ่เราจะได้เห็นการพัฒนาของโนบิตะที่มีหัวใจมากกว่าครั้งไหน ๆ นอกจากนี้จุดที่ผมกล่าวมามันทำให้โดราเอม่อนมูฟวี่ภาคนี้มีความเป็น ผู้ใหญ่ มากขึ้นด้วย

ส่วนฉากแฟนเซอร์วิสที่ผมกล่าวข้างต้น หลาย ๆ คนอาจมองว่ามันน้อยไปนิด แต่สำหรับผมคิดว่ามันออกมาได้เหมาะสมแล้ว เนื่องจากถ้ามันเน้นมากไป ประเด็นใหญ่ของเรื่องอาจเบี่ยงไปและทำให้มันทรงพลังน้อยลงเช่นกัน แต่ยอมรับว่าฉากที่ปล่อยมานี้ ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวจริง ๆ มันเป็นโดราเอม่อนมูฟวี่ที่ทำให้ผมน้ำตาไหลครั้งแรกตั้งแต่ผจญภัยกองทัพมนุษย์เหล็กรีเมคเลยแหละ

อีกส่วนที่อยากชมจริงจังคืองานภาพ งานภาพสวยมากและมีความเป้นภาพยนตร์สูง หลาย ๆ ฉากมีการออกแบบมุมกล้องที่ช่วยเสริมอารมณ์มากขึ้น งานอนิเมชั่นที่มีการขยับที่ดีและเห็นถึงความปราณีตของทีมงาน เรียกว่าความยอดเยี่ยมจุดนี้ไม่แพ้ภาคสำรวจดวงจันทร์ของปี 2019 เลย

หากคุณได้ชมโดราเอม่อนมูฟวี่มาก่อน โดยเฉพาะภาคไดโนเสาร์ของโนบิตะ อาจจะพบว่ามันมี Plothole ใหญ่ ๆ หลายจุดที่โดราเอม่นอมูฟวี่ไม่น่าจะพลาดขนาดนั้น ซึ่งจุดนี้มันจะถูกเฉลยในการให้สัมภาษณ์ของทีมงาน (จะพูดถึงในส่วนของบทความ Spoil) ซึ่งหากอ่านแล้วมันจะช่วยไข Plothole ที่เกิดขึ้นได้ในทันที แต่ว่ามันก็จะเปลี่ยนอารมณ์ของหนังไปอีกรูปแบบหนึ่งด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามส่วนนี้ผมยังนับเป็นข้อเสีย เพราะว่าการไม่มีเบาะแสเฉลยประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่ในหนัง ต้องให้ไปตามกันในสื่ออื่นเอง ดูไม่ใช่เรื่องที่ต้องผลักภาระไปให้ผู้ชม

และในส่วนของฉากผจญภัยต่าง ๆ ดูภาคนี้อาจไม่ได้เน้นเป็นพิเศษ เพราะมีค่อนข้างน้อย หลาย ๆ ฉากก็แอบเสียดายที่มันไม่ต่อยอดเท่าไหร่ ทั้งที่ถ้าทำจริงมันอาจเป็นฉากผจญภัยที่สนุกมากก็ตาม แต่ในส่วนของไคล์แมกซ์ก็นับว่าทำได้ยอดเยี่ยม ส่วนหนึ่งเพราะบทที่ส่งมาถึงฉากนี้มันไปสุดด้วย สร้างอารมณ์ร่วมได้มากขึ้น

สรุปแล้วนี่คือโดราเอม่อนมูฟวี่ที่นำประเด็นที่เคยพูดถึงในภาคอื่น ๆ มาก่อน แต่สื่อออกมาได้ทรงพลังอย่างมาก ใครที่มีประเด็นความไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง จะคลิกภาคนี้เป็นพิเศษ รวมถึงมันยังทำให้เราเห็นมุมมองของโนบิตะที่แตกต่างไปจากมูฟวี่ภาคอื่น มันเพิ่มความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละครตัวนี้อย่างน่าอัศจรรย์และหลงไหลในตัวเด็กขี้แพ้คนนี้มากขึ้น นับเป็นหนึ่งใน วิวัฒนาการ ของทีมใหม่ที่สร้างสรรผลงานโดราเอม่อนมูฟวี่เนื้อหาแบบออริจินอลที่มี "หัวใจ" อย่างแท้จริง

เกรด A+ (9.5/10)

-----------------------------------------------------



Review : Kimetsu No Yaiba ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ : ศึกรถไฟสู่นิรันดร์

อย่าแปลกใจอะไรถ้าคนที่ไปดูมาแล้วจะเทิดทูนเร็นโกคุ เพราะมันคือจุดที่ยอดเยี่มที่สุดของหนังภาคนี้เลยแหละครับ ต้องยอมรับว่าทีมงานทำจุดนี้ได้ดีมาก เพราระการทำอนิเมะที่มีเนื้อหาจากมังงะเนี่ยข้อเสียคือ คนที่อ่านจะรู้สปอยเนื้อเรื่องกัน แล้วบทที่เอามาทำก็เป็นบทที่พีค (และสะเทือนใจ) มากบทหนึ่งของซีรีส์เลย และทีมงานก็ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงในการรังสรรเรื่องราวของตัวละครตัวนี้ออกมาให้เราผูกพัน รัก และมันเพิ่มความพีคในช่วงสุดท้าย ทำให้ฉากแอ็คชั่นตอนนั้นเรียกว่าเดือดและสุดยอดอย่างที่สุด

พอพูดถึงฉากแอ็คชั่น ก็เรียกว่าไม่มีผิดหวังกับฝีมือของ ufotable ที่ขึ้นชื่อการทำฉากแอ็คชั่นเวอร์วังอลังการซึ่งก็เข้าทางกับการมารับหน้าที่ทำอนิเมะซีรีส์นี้ แต่ว่าด้วยบทที่มันส่งมาด้วย ทำให้เรารู้สึกลุ้นและสนุกมากยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนตัวคิดว่าฉากแอ็คชั่นทำดีกว่าไตรภาค Fate/stay night: Heaven's Feel ที่ทำโดยสตูดิโอเดียวกันแฮะ เอาเป็นว่าเข้าไปดูแค่ภาพกับฉากแอ็คชั่นก็คุ้มค่าตั๋วแล้วล่ะครับ

แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้คิดว่าหนังมันเพอร์เฟค ถ้าให้ติคงในช่วงต้นของเรื่อง มีความรู้สึกว่ามันเอื่อยจนแอบน่าเบื่อไปนิดนึง กับ ตอนจบ คือไม่ใช่ว่าตอนจบของมันแย่นะ ดีและลงตัวแหละ แต่ส่วนตัวอยากให้มันเดินเรื่องไปอีกนิดนึงตามมังงะ เพราะถ้าใครที่ตามน่าจะเห็นว่ามันจะมีเรื่องราวอีกนิดนึงต่อจากนั้น และส่วนนั้นผมว่ามันจะทำให้ภาพยนตร์ปิดฉากได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

สรุปคือเป็นภาพยนตร์อนิเมะที่ยอดเยี่ยมทั้งในส่วนของเนื้อเรื่องและฉากแอ็คชั่น พร้อมยังช่วยปิดเรื่องราวของอนิเะมซีซั่นแรกได้อย่างดี ขอแนะนำให้ไปชมกันนะครับ )

เกรด A- (8.5/10)

ปล.พยายามเขียนเลี่ยงสปอยให้มากที่สุด เพราะถ้าคนที่ยังไม่อ่านมังงะและตามแต่อนิเมะ ผมเชื่อว่าจะได้ประสบการณ์รับชมที่เต็ม 100 ในภาคนี้อย่างมาก
[Edited 1 times Soma555 - Last Edit 2020-11-26 13:56:41]

Reply
Vote




1 online users
Logged In :