ตะลึง! แช่แข็งศพลูก หวังชุบชีวิตได้!

ด้วยรักจากพ่อแม่ หวังชุบชีวิตลูก ส่งศพ”น้องไอนส์” เด็ก2ขวบ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมอง ไปแช่แข็งด้วยเทคโนโลยี “ไครออนิกส์” ที่สหรัฐ

เว็บไซต์เมโทรของอังกฤษ เผยแพร่เรื่องราวของ ด.ญ.เมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ หรือน้องไอนส์ เด็กหญิงชาวไทยวัย 2 ขวบที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสมอง จากนั้นพ่อแม่ซึ่งเป็นหมอทั้งคู่ นำร่างลูกสาวตนเองไปแช่แข็งที่ห้องเย็นของมูลนิธิเพื่อชีวิต อัลคอร์ ไลฟ์ เอ็กซ์เทนชั่น ในรัฐแอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา

เพื่อศึกษาร่างกายลูกต่อไปได้ในอนาคต และหวังว่าเมื่อเทคโนโลยีวิทยา ศาสตร์และการแพทย์เจริญก้าวหน้า พวกเขาจะสามารถชุบชีวิตแก้วตาดวงใจคนนี้คืนขึ้นมาได้

ด.ญ.เมทรินทร์ เป็นบุคคลแรกที่อายุน้อยที่สุดที่ถูกนำมาแช่แข็งด้วยกระบวนการที่เรียกว่า “ไครออนิกส์” หรือกระบวนการศึกษาความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง และพฤติกรรมของวัตถุต่างๆ ภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำมาก ประมาณใต้ -150 เซลเซียส หรือ -238 องศาฟาเรนไฮต์ โดยจะนิยมใช้ก๊าซเหลว

อย่างเช่น ไนโตรเจนเหลว หรือฮีเลียมเหลว แต่ที่ใช้กันมากที่สุดจะเป็นไนโตรเจนเหลว เพราะกฎหมาย ทั่วโลกอนุมัติให้ซื้อมาครอบครองได้ และแช่วัตถุนั้นๆไว้ในแคปซูล

ซึ่ง ด.ญ.เมทรินทร์อายุเพียง 2 ขวบ 2 เดือน โดยแพทย์ตรวจพบก้อนเนื้องอกขนาด 4 นิ้วครึ่ง อยู่ในสมองซีกซ้าย ระบุว่าเมทรินทร์ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และได้รับการผ่าตัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 57 ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งทีมศัลยแพทย์ได้เจาะเข้าไปในกะโหลกศีรษะเพื่อลดแรงดันในสมอง ก่อนจะนำก้อนเนื้องอกออกไปครึ่งหนึ่ง

ด.ญ.เมทรินทร์ ฟื้นตัวหลังจากผ่าตัด 1 สัปดาห์ แต่เชื้อมะเร็งแพร่กระจายทั่วแล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ต้องเข้าผ่าตัดสมองถึง 12 ครั้ง ทำคีโม 20 ครั้ง และฉายรังสีอีก 20 ครั้ง จนกระทั่งเสียสมองซีกซ้ายไปร้อยละ 80 และจบชีวิตลงเมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา

พ่อแม่ของด.ญ.เมทรินทร์เรียนรู้ข้อมูลของมูลนิธิดังกล่าว มาจากอินเตอร์เน็ต ฉะนั้น หลังจากที่ลูกสาวเสียชีวิต จึงได้ร่วมมือกับทีมแพทย์ผู้รักษา ในการจ้างมูลนิธิด้วยเงิน 220,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7 ล้านบาท) ให้แช่แข็งลูกด้วยกระบวนการไครออนิกส์

ที่ทำการมูลนิธิอัลคอร์ตั้งอยู่ในเมืองสก็อตเดลล์ รัฐแอริโซน่า ซึ่งปัจจุบันมีร่างคนไข้ 134 คนถูกแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลวภายใต้อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส โดยในจำนวนนั้นมีนักเบสบอลดางรุ่งอย่างเท็ด วิลเลียมส์ และจอห์น เฮนรี วิลเลียมส์ ลูกชายรวมอยู่ด้วย

ส่วนพ่อแม่ของด.ญ.เมทรินทร์ได้สมัครเป็นสมาชิกของมูลนิธิอัลคอร์แล้ว ด้วยความหวังว่า กระบวนการศึกษาทางวิทยา ศาสตร์ที่เรียกว่าไครออนิกส์นี้จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อการแพทย์มีความก้าวหน้าถึงขีดสุด จะสามารถชุบชีวิตลูกสาวให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

สำหรับเทคโนโลยี ไครออนิกส์ คือกระบวนการเก็บศพไว้ในความเย็นเพื่อปลุกให้ตื่นในอนาคต มีบริษัทรับแช่ศพแบบนี้ในอเมริกาและยุโรป ศพที่แช่ไว้ตายด้วยโรคที่ปัจจุบันรักษาไม่ได้ เชื่อกันว่าในอนาคตโรคเหล่านี้อาจรักษาได้ ตอนนั้นก็ปลุกศพเหล่านี้ขึ้นมารักษา มีการทดลอง แช่แข็งหนู ปรากฏว่าปลุกได้

เครดิต
news.mthai.com

โลกนี้ไม่ต้องพึ่งดราก้อนบอลหรอกครับ 55555
แต่ฟังหูไว้หูนะ อย่าพึ่งไปจริงจังมาก

อยากชุบชีวิตลูก แต่ให้ตื่นขึ้นมาในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ถามว่า ตอนนั้นฟื้นขึ้นมาจริง แล้ว จะมีความสุขรออยู่เหรอ ที่ต้องตื่นมาเจอหน้าคนแปลกหน้า และ ได้รับรู้ว่า พ่อแม่ คนรู้จัก ตายไปหลายร้อยปีแล้ว และ น้องเขาต้องอยู่ในโลกคนเดียว และ ไม่รู้จักใคร ญาติพี่น้อง ก็คงตายไปหมดแล้ว เป็นผม สิ่งที่รอผมอยู่คือ ความทุกข์ และ ความโดดเดี่ยว และ คงไม่มีอะไรรับประกันว่า ตอนนั้น จะมีคนมาดูแลเรา ให้ความรักเราเหมือนที่พ่อแม่ให้

เคยมีการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ของโอซามุหรือฟูจิโกะนี่แหละ ไม่แน่ใจ
ชายหนุ่มที่โดนแช่แข็งแล้วไปโผล่อนาคต ต้องพบกับความทุกข์มากมาย
พ่อแม่คนรู้จักทุกคนตายไปหมดแล้ว ความรู้ความสามารถที่มีใช้งานไม่ได้ในสังคมใหม่ เพราะมันตกยุคไปแล้ว สถาพสังคมเปลี่ยนจนเข้าสังคมแทบไม่ได้ เงินทองทรัพย์สมบัติก็ไม่มี เพราะเงินที่มีหมดค่าไปแล้ว

เรียกว่าทุกข์มากกว่าสุข
คืนชีพให้ลูกในอนคต ถึงตอนนั้นพ่อแม่คงตายไปแล้ว แล้วคิดบ้างหรือไม่ว่าฟื้นแล้วลูกจะอยู่กลับใคร ใครจะดูแล

อย่างน้อยถ้าน้องคนนี้เป็นเด็กวัยที่พอจะดูแลตัวเองได้ เช่นอายุ 15 ขึ้นไปงี้ ผมว่ายังไม่เท่าไรนะ แต่ กับเด็กวัยแบเบาะนี่ ต้องตื่นขึ้นมาในโลกที่พ่อแม่จากไปแล้ว จะอยู่กับใคร จะมีใครให้ความรักกับน้องคนนี้เหมือนที่พ่อแม่ให้ไหม ยามเจ็บไข้ได้ป่วย จะมีใครมาดูแลด้วยความรักไหม... บอกตรงๆคิดแล้ว ผมปวดใจแทน

สมมุติว่า 50 ปีข้างหน้ามีวิธีรักษาแต่พ่อแม่เสียชีวิตแล้ว แล้วไม่มีญาติพี่น้องคนไหนยอมจ่ายเงินค่ารักษาหลักล้านเพราะไม่ได้ผูกพันธ์กับผู้ป่วย สุดท้ายก็เผาอยู่ดี

ถ้า 100 ขึ้นไปยิ่งยาก ต่อให้ตื่นขึ้นมาได้ก็โดดเดี่ยว

Ps.ผมสงสัยเรื่องสมอง เก็บสมองยังไงให้มีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนครับ ความทรงจำคนเราคือประจุไฟฟ้าไม่ใช่เก็บข้อมูล Harddisk เผลอตื่นมาแล้วทำอะไรไม่ได้ นอนเป็นผักอยู่บนเตียง

พ่อกับแม่เด็กเป็นหมอทั้งคู่

ยิ่งพอดีเมื่อเช้าได้ฟังการให้สัมภาษณ์ทาง ไทยรัฐทีวี เลยหามาให้ฟังกันว่า ทำไปทำไม

[Link]

เห็นข่าวแล้วก็แอบงงๆครับ

เห็นข่าวว่า "เสียชีวิตแล้ว" แล้วเอาร่างแช่ไว้
คือ ถ้ายังไม่เสียชีวิต เป็นแค่เจ้าหญิงนิทรา ผมเข้าใจได้นะ

แต่ถ้าเสียชีวิตไปแล้ว จะมีเทคโนที่ทำให้มีชีวิตได้อีกจริงๆเหรอ?


ถ้าใช้การปลูกถ่ายอวัยวะทั้งตัว
แบบนั้นคงไม่เรียกฟื้นมั๊ง ออกแนวโคลนนิ่งมากกว่าหรือป่าว?
อะไรแบบนั้น

นึกถึงเรื่อง futurama เลย

น้องเค้าอายุแค่นั้น ถ้าฟื้นขึ้นมาในอนาคตได้จริงๆนอกจากเรื่องไม่มีพ่อแม่อยู่แล้วก็ไม่น่าจะมีข้อเสียอะไรมากนะ อย่างน้อยเค้าก็มีชีวิตได้แล้ว startการใช้ชีวิตจาก2ขวบผมว่าก็เป็นไปได้อยู่นะครับ

ผมคิดต่าง ถ้าชุบได้จริง เรื่องปรับตัวไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เพราะเด็กเพิ่งอายุ 2 ขวบ ยังต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาอีกเยอะ

ถ้าถึงตอนนั้น อีกซัก 100-200 ปีข้างหน้า สามารถชุบเด็กคนนี้ได้จริง คงเป็นข่าวใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์ เด็กจากศตวรรษที่ 21 คืนชีพ ไรงี้

ผมว่าตอนนั้นเด็กคนนี้จะได้รับความสนใจจากสังคมโลกเป็นวงกว้าง เพราะงั้นเติบจะมีคนเลี้ยงดูมั้ยนั้น ไม่น่าห่วงเลย

ถึงจะฟื้นมาได้จริง ตอนนั้น บิดา มารดา หรืออาจจะมากกว่านั้น คงกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว เราอยู่ในดินแดนชมพูทวีป อายุมนุษย์มัน 80 ปีเท่านั้นเอง โดยเฉลี่ย แต่ถ้าทำได้ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญครับ

ตายแบบ สมองหาบไป 80% ด้วยนะนั้น

อนาคต ต้องมีแบบ สร้างเนื้อสมองด้วยนะนั้น

เพิ่งดูข่าวเพิ่มเติม พ่อของน้องที่เสียชีวิตบอกว่า

ที่แช่แข็งเป็นแค่ ส่วนสมองอย่างเดียว ร่างกายฌาปนกิจไปแล้ว

เย็นนี้เห็นว่าจะออกสรยุทธนะ แต่เท่าที่ฟังเมื่อกี้ก็เคลียร์ดี มีเหตุผลพอสมควร

มีตังก็ทำไปเถอะ ไม่เห็นจะใช่เรื่องที่ต้องไปด่าพ่อแม่เขา
เห็นยกธรรมะ ยกศาสนาพุทธมาด่าครอบครัวน้องกันใหญ่เลย ในเฟสฯ

ไม่ได้บอกตัวเลขแต่คงหลายล้านแน่ๆ แต่คนตายไปแล้วแช่แข็งแล้วจะฟื้นขึ้นมาอีกได้ไงหว่าวิญญาณไม่ไปไหนต่อไหนแล้วรึ