<<
<
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
>
>>
Reply
Vote
# Mon 10 Dec 2018 : 3:01PM
"MnemoniC";2450882 wrote:
Facebook ถูกปรับกว่า $11.4 ล้าน ในอิตาลี ฐานละเมิดข้อมูลส่วนตัว
คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า หรือ Competition Authority ของประเทศอิตาลี ได้ปรับ Facebook เป็นจำนวนเงินกว่า 11.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจาก Facebook นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งผิดกฎหมายของประเทศอิตาลี
รัฐบาลประเทศอิตาลีสั่งปรับ Facebook โดยให้เหตุผลว่าบริษัทไม่อธิบายรายละเอียดกับผู้สมัครใช้บริการว่าข้อมูลของพวกเขาจะถูกบันทึกและนำไปใช้เพื่อหวังผลทางธุรกิจต่อไป
อีกข้อหาหนึ่งที่ Facebook ถูกสั่งปรับ คือ ข้อมูลของผู้ใช้งานถูกส่งต่อไปยังแอปพลิเคชั่นบุคคลที่สาม โดยบริษัทไม่ได้ยื่นข้อตกลงเพื่อขอยินยอมการส่งต่อข้อมูลไปยังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นอื่น ซึ่งต่อไปนี้ Facebook ต้องแจ้งผู้ใช้งานทุกครั้งว่าการใช้งานแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับ Facebook จะมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
บริษัทกล่าวว่ากำลังทบทวนคำสั่งของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและจะร่วมมือกับรัฐบาลประเทศอิตาลีเพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว
โฆษกประจำบริษัทกล่าวว่า Facebook ได้ชี้แจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัวให้เข้าใจง่ายขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าใจวัตถุประสงค์การใช้ข้อมูลของบริษัท รวมถึงการทำธุรกิจของบริษัท มากไปกว่านั้น บริษัทก็ได้ปรับเปลี่ยนการตั้งแต่ส่วนบุคคลให้เข้าถึงและใช้งานง่ายขึ้น และทีมงานจะปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของผู้ใช้งาน
การดำเนินคดีในวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่มีความเชื่อมโยงกับกรณี Cambridge Analytica และ General Data Protection Regulation ของสหภาพยุโรป แต่อย่างใด คดีที่เกิดขึ้นเป็นอำนาจของประเทศอิตาลีทั้งหมด ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
ที่มา: เกมมิ่ง โดส [Link]
คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า หรือ Competition Authority ของประเทศอิตาลี ได้ปรับ Facebook เป็นจำนวนเงินกว่า 11.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจาก Facebook นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งผิดกฎหมายของประเทศอิตาลี
รัฐบาลประเทศอิตาลีสั่งปรับ Facebook โดยให้เหตุผลว่าบริษัทไม่อธิบายรายละเอียดกับผู้สมัครใช้บริการว่าข้อมูลของพวกเขาจะถูกบันทึกและนำไปใช้เพื่อหวังผลทางธุรกิจต่อไป
อีกข้อหาหนึ่งที่ Facebook ถูกสั่งปรับ คือ ข้อมูลของผู้ใช้งานถูกส่งต่อไปยังแอปพลิเคชั่นบุคคลที่สาม โดยบริษัทไม่ได้ยื่นข้อตกลงเพื่อขอยินยอมการส่งต่อข้อมูลไปยังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นอื่น ซึ่งต่อไปนี้ Facebook ต้องแจ้งผู้ใช้งานทุกครั้งว่าการใช้งานแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับ Facebook จะมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
บริษัทกล่าวว่ากำลังทบทวนคำสั่งของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและจะร่วมมือกับรัฐบาลประเทศอิตาลีเพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว
โฆษกประจำบริษัทกล่าวว่า Facebook ได้ชี้แจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัวให้เข้าใจง่ายขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าใจวัตถุประสงค์การใช้ข้อมูลของบริษัท รวมถึงการทำธุรกิจของบริษัท มากไปกว่านั้น บริษัทก็ได้ปรับเปลี่ยนการตั้งแต่ส่วนบุคคลให้เข้าถึงและใช้งานง่ายขึ้น และทีมงานจะปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของผู้ใช้งาน
การดำเนินคดีในวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่มีความเชื่อมโยงกับกรณี Cambridge Analytica และ General Data Protection Regulation ของสหภาพยุโรป แต่อย่างใด คดีที่เกิดขึ้นเป็นอำนาจของประเทศอิตาลีทั้งหมด ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
ที่มา: เกมมิ่ง โดส [Link]
เฟซบุ๊คโดนอีกแล้วก่อนหน้าสภาคองเกรสก็เรียกไปไต่สวน รอบนี้เฟซของเฮียมาร์คโดนเบาะๆที่อิตาลี่เกือบ 12 ล้านเหรียญสหรัฐ ขอแสดงความเสียใจกับเฮียมานะที่นี้ครับ
ไปอ่านข่าวที่blognoneมาสิงเดือนที่ผ่านข่าวฉาวเพียบ
Like : "MnemoniC"
# Mon 10 Dec 2018 : 4:33PM
บริษัทที่คิดหาหนทางเก็บ call history log โดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัวนี่ ผมว่าไม่ควรให้กำลังใจ หรือไปเสียใจอะไรนะ
แถมทำได้ไปแล้วด้วยใน ใครใช้ fb Android ไปปิดซะก็ดี (ในข่าวบอกวิธีปิดไว้)
[Link]
แถมทำได้ไปแล้วด้วยใน ใครใช้ fb Android ไปปิดซะก็ดี (ในข่าวบอกวิธีปิดไว้)
[Link]
[Edited 2 times Burm - Last Edit 2018-12-10 16:39:03]
# Mon 10 Dec 2018 : 4:51PM
มาครงเตรียมกล่าว "ประกาศสำคัญ" หวังลดความเดือดดาลของปชช. เตือนทรัมป์อย่าแทรกแซงกิจการภายในประเทศ
.
เจ้าหน้าที่ของรัฐเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ดิ่งฮวบลงอย่างมาก เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสกำลังเตรียมรับมือกับการประท้วงของกลุ่ม "เสื้อเหลือง" ที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านค่าครองชีพที่สูงขึ้น
.
โฆษกของรัฐบาล Benjamin Griveaux กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ LCI ว่า "ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสจะทำการปราศัยที่สำคัญ “เราต้องตอบสนองต่อความไม่พอใจที่เราได้ทราบและเข้าใจ ด้วยมาตรการที่เข้มแข็งและไม่เคยละทิ้งคำตอบ” "อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งหมดของผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองจะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการโบกไม้กายสิทธิ์" เขากล่าวเสริม
.
ในขณะที่ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌอง-อีฟส์ เลอ แดรง (Jean-Yves Le Drian) ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า"ประธานาธิบดีมาครงจะออกมาปราศรัยและจะส่งสัญญาณที่ดีให้แก่ประชาชน" แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการที่วางไว้และเวลาที่แน่นอนที่มาครงจะออกมากล่าว
.
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการประท้วงที่ย่ำแย่ที่สุด ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคาดว่าจะสามารถเข้าถึงประชาชนได้ผ่านทางโทรทัศน์ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนทที่มีต่อตัวเขา ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและจัดการกับปัญหาสังคม
.
"ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่คนฝรั่งเศสต้องการพวกเขาต้องการคำตอบ ประธานาธิบดีจะสื่อสารไปยังพวกเขาเหล่านี้ว่า ตนกำลังรับฟังความโกรธเกรี้ยวของพวกเขา และเห็นได้ชัดว่าเขามีวิธีการแก้ปัญหาใหม่ๆ " รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งElisabeth Borne กล่าวก่อนหน้านี้ไม่นาน
.
"การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อกั๊กสีเหลือง" ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย ประกอบไปด้วยกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยและหลากหลายภูมิหลัง พวกเขากลายมาเป็นกลุ่มผู้ประท้วงที่มีขนาดใหญ่ผู้ต่อต้านค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและค่าครองชีพี่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของมาครง โดยอ้างว่านโยบายดังกล่าวเป็นประโยชน์แค่กับคนรวย และมีบางรายที่เรียกร้องให้มาครงลงจากตำแหน่ง
.
เนื่องจากผู้ประท้วงยังคงไม่พอใจอย่างต่อเนื่อง มาครงจึงประกาศระงับแผนจัดเก็บภาษีน้ำมันชั่วคราวไปเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา แต่จนถึงปัจจุบัน ผู้ประท้วงก็ยังไม่ส่งสัญญาณว่าจะอ่อนข้อลง พวกเขาต้องการมาตรการที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและการลดหย่อนภาษี
.
เอดูอารด์ ฟิลิป (Edouard Philippe) นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขากำลังจะเสนอ “มาตรการใหม่ที่จะช่วยเพิ่มเงินค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อความสามารถในการแข่งขันและธุรกิจมากนัก”
.
นอกจากนี้ ฌอง-อีฟส์ เลอ แดรง รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ก็ได้ออกมากล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่ามาครงบอกกับทรัมป์ว่าไม่ควรมาแทรกแซงกิจการภายในของฝรั่งเศส หลังจากที่ทรัมพ์เพิ่งโพสต์หลายข้อความในทวิตเตอร์ซึ่งมีลักษณะเย้ยหยันมาครงในประเด็นการประท้วงของกลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง
.
ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองได้ร่วมเดินขบวนประท้วงอย่างต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ที่ 4 แล้วโดยมีผู้ชุมนุมประมาณ 136,000 รายในทั่วประเทศ จากตัวเลขของกระทรวงมหาดไทย จำนวนผู้ถูกจับกุมขณะนี้อยู่ที่ 2,000 คนในทั่วประเทศ และยังมีผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ราว 1,700 คน
ที่มาสำนักข่าวซินหัว
.
เจ้าหน้าที่ของรัฐเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ดิ่งฮวบลงอย่างมาก เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสกำลังเตรียมรับมือกับการประท้วงของกลุ่ม "เสื้อเหลือง" ที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านค่าครองชีพที่สูงขึ้น
.
โฆษกของรัฐบาล Benjamin Griveaux กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ LCI ว่า "ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสจะทำการปราศัยที่สำคัญ “เราต้องตอบสนองต่อความไม่พอใจที่เราได้ทราบและเข้าใจ ด้วยมาตรการที่เข้มแข็งและไม่เคยละทิ้งคำตอบ” "อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งหมดของผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองจะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการโบกไม้กายสิทธิ์" เขากล่าวเสริม
.
ในขณะที่ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌอง-อีฟส์ เลอ แดรง (Jean-Yves Le Drian) ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า"ประธานาธิบดีมาครงจะออกมาปราศรัยและจะส่งสัญญาณที่ดีให้แก่ประชาชน" แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการที่วางไว้และเวลาที่แน่นอนที่มาครงจะออกมากล่าว
.
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการประท้วงที่ย่ำแย่ที่สุด ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคาดว่าจะสามารถเข้าถึงประชาชนได้ผ่านทางโทรทัศน์ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนทที่มีต่อตัวเขา ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและจัดการกับปัญหาสังคม
.
"ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่คนฝรั่งเศสต้องการพวกเขาต้องการคำตอบ ประธานาธิบดีจะสื่อสารไปยังพวกเขาเหล่านี้ว่า ตนกำลังรับฟังความโกรธเกรี้ยวของพวกเขา และเห็นได้ชัดว่าเขามีวิธีการแก้ปัญหาใหม่ๆ " รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งElisabeth Borne กล่าวก่อนหน้านี้ไม่นาน
.
"การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อกั๊กสีเหลือง" ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย ประกอบไปด้วยกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยและหลากหลายภูมิหลัง พวกเขากลายมาเป็นกลุ่มผู้ประท้วงที่มีขนาดใหญ่ผู้ต่อต้านค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและค่าครองชีพี่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของมาครง โดยอ้างว่านโยบายดังกล่าวเป็นประโยชน์แค่กับคนรวย และมีบางรายที่เรียกร้องให้มาครงลงจากตำแหน่ง
.
เนื่องจากผู้ประท้วงยังคงไม่พอใจอย่างต่อเนื่อง มาครงจึงประกาศระงับแผนจัดเก็บภาษีน้ำมันชั่วคราวไปเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา แต่จนถึงปัจจุบัน ผู้ประท้วงก็ยังไม่ส่งสัญญาณว่าจะอ่อนข้อลง พวกเขาต้องการมาตรการที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและการลดหย่อนภาษี
.
เอดูอารด์ ฟิลิป (Edouard Philippe) นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขากำลังจะเสนอ “มาตรการใหม่ที่จะช่วยเพิ่มเงินค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อความสามารถในการแข่งขันและธุรกิจมากนัก”
.
นอกจากนี้ ฌอง-อีฟส์ เลอ แดรง รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ก็ได้ออกมากล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่ามาครงบอกกับทรัมป์ว่าไม่ควรมาแทรกแซงกิจการภายในของฝรั่งเศส หลังจากที่ทรัมพ์เพิ่งโพสต์หลายข้อความในทวิตเตอร์ซึ่งมีลักษณะเย้ยหยันมาครงในประเด็นการประท้วงของกลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง
.
ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองได้ร่วมเดินขบวนประท้วงอย่างต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ที่ 4 แล้วโดยมีผู้ชุมนุมประมาณ 136,000 รายในทั่วประเทศ จากตัวเลขของกระทรวงมหาดไทย จำนวนผู้ถูกจับกุมขณะนี้อยู่ที่ 2,000 คนในทั่วประเทศ และยังมีผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ราว 1,700 คน
ที่มาสำนักข่าวซินหัว
Like : "MnemoniC"
# Mon 10 Dec 2018 : 4:52PM
มาครงเตรียมกล่าว "ประกาศสำคัญ" หวังลดความเดือดดาลของปชช. เตือนทรัมป์อย่าแทรกแซงกิจการภายในประเทศ
.
เจ้าหน้าที่ของรัฐเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ดิ่งฮวบลงอย่างมาก เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสกำลังเตรียมรับมือกับการประท้วงของกลุ่ม "เสื้อเหลือง" ที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านค่าครองชีพที่สูงขึ้น
.
โฆษกของรัฐบาล Benjamin Griveaux กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ LCI ว่า "ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสจะทำการปราศัยที่สำคัญ “เราต้องตอบสนองต่อความไม่พอใจที่เราได้ทราบและเข้าใจ ด้วยมาตรการที่เข้มแข็งและไม่เคยละทิ้งคำตอบ” "อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งหมดของผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองจะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการโบกไม้กายสิทธิ์" เขากล่าวเสริม
.
ในขณะที่ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌอง-อีฟส์ เลอ แดรง (Jean-Yves Le Drian) ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า"ประธานาธิบดีมาครงจะออกมาปราศรัยและจะส่งสัญญาณที่ดีให้แก่ประชาชน" แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการที่วางไว้และเวลาที่แน่นอนที่มาครงจะออกมากล่าว
.
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการประท้วงที่ย่ำแย่ที่สุด ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคาดว่าจะสามารถเข้าถึงประชาชนได้ผ่านทางโทรทัศน์ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนทที่มีต่อตัวเขา ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและจัดการกับปัญหาสังคม
.
"ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่คนฝรั่งเศสต้องการพวกเขาต้องการคำตอบ ประธานาธิบดีจะสื่อสารไปยังพวกเขาเหล่านี้ว่า ตนกำลังรับฟังความโกรธเกรี้ยวของพวกเขา และเห็นได้ชัดว่าเขามีวิธีการแก้ปัญหาใหม่ๆ " รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งElisabeth Borne กล่าวก่อนหน้านี้ไม่นาน
.
"การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อกั๊กสีเหลือง" ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย ประกอบไปด้วยกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยและหลากหลายภูมิหลัง พวกเขากลายมาเป็นกลุ่มผู้ประท้วงที่มีขนาดใหญ่ผู้ต่อต้านค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและค่าครองชีพี่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของมาครง โดยอ้างว่านโยบายดังกล่าวเป็นประโยชน์แค่กับคนรวย และมีบางรายที่เรียกร้องให้มาครงลงจากตำแหน่ง
.
เนื่องจากผู้ประท้วงยังคงไม่พอใจอย่างต่อเนื่อง มาครงจึงประกาศระงับแผนจัดเก็บภาษีน้ำมันชั่วคราวไปเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา แต่จนถึงปัจจุบัน ผู้ประท้วงก็ยังไม่ส่งสัญญาณว่าจะอ่อนข้อลง พวกเขาต้องการมาตรการที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและการลดหย่อนภาษี
.
เอดูอารด์ ฟิลิป (Edouard Philippe) นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขากำลังจะเสนอ “มาตรการใหม่ที่จะช่วยเพิ่มเงินค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อความสามารถในการแข่งขันและธุรกิจมากนัก”
.
นอกจากนี้ ฌอง-อีฟส์ เลอ แดรง รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ก็ได้ออกมากล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่ามาครงบอกกับทรัมป์ว่าไม่ควรมาแทรกแซงกิจการภายในของฝรั่งเศส หลังจากที่ทรัมพ์เพิ่งโพสต์หลายข้อความในทวิตเตอร์ซึ่งมีลักษณะเย้ยหยันมาครงในประเด็นการประท้วงของกลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง
.
ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองได้ร่วมเดินขบวนประท้วงอย่างต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ที่ 4 แล้วโดยมีผู้ชุมนุมประมาณ 136,000 รายในทั่วประเทศ จากตัวเลขของกระทรวงมหาดไทย จำนวนผู้ถูกจับกุมขณะนี้อยู่ที่ 2,000 คนในทั่วประเทศ และยังมีผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ราว 1,700 คน
ที่มาสำนักข่าวซินหัว
.
เจ้าหน้าที่ของรัฐเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ดิ่งฮวบลงอย่างมาก เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสกำลังเตรียมรับมือกับการประท้วงของกลุ่ม "เสื้อเหลือง" ที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านค่าครองชีพที่สูงขึ้น
.
โฆษกของรัฐบาล Benjamin Griveaux กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ LCI ว่า "ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสจะทำการปราศัยที่สำคัญ “เราต้องตอบสนองต่อความไม่พอใจที่เราได้ทราบและเข้าใจ ด้วยมาตรการที่เข้มแข็งและไม่เคยละทิ้งคำตอบ” "อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งหมดของผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองจะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการโบกไม้กายสิทธิ์" เขากล่าวเสริม
.
ในขณะที่ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌอง-อีฟส์ เลอ แดรง (Jean-Yves Le Drian) ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า"ประธานาธิบดีมาครงจะออกมาปราศรัยและจะส่งสัญญาณที่ดีให้แก่ประชาชน" แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการที่วางไว้และเวลาที่แน่นอนที่มาครงจะออกมากล่าว
.
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการประท้วงที่ย่ำแย่ที่สุด ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคาดว่าจะสามารถเข้าถึงประชาชนได้ผ่านทางโทรทัศน์ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนทที่มีต่อตัวเขา ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและจัดการกับปัญหาสังคม
.
"ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่คนฝรั่งเศสต้องการพวกเขาต้องการคำตอบ ประธานาธิบดีจะสื่อสารไปยังพวกเขาเหล่านี้ว่า ตนกำลังรับฟังความโกรธเกรี้ยวของพวกเขา และเห็นได้ชัดว่าเขามีวิธีการแก้ปัญหาใหม่ๆ " รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งElisabeth Borne กล่าวก่อนหน้านี้ไม่นาน
.
"การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อกั๊กสีเหลือง" ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย ประกอบไปด้วยกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยและหลากหลายภูมิหลัง พวกเขากลายมาเป็นกลุ่มผู้ประท้วงที่มีขนาดใหญ่ผู้ต่อต้านค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและค่าครองชีพี่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของมาครง โดยอ้างว่านโยบายดังกล่าวเป็นประโยชน์แค่กับคนรวย และมีบางรายที่เรียกร้องให้มาครงลงจากตำแหน่ง
.
เนื่องจากผู้ประท้วงยังคงไม่พอใจอย่างต่อเนื่อง มาครงจึงประกาศระงับแผนจัดเก็บภาษีน้ำมันชั่วคราวไปเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา แต่จนถึงปัจจุบัน ผู้ประท้วงก็ยังไม่ส่งสัญญาณว่าจะอ่อนข้อลง พวกเขาต้องการมาตรการที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและการลดหย่อนภาษี
.
เอดูอารด์ ฟิลิป (Edouard Philippe) นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขากำลังจะเสนอ “มาตรการใหม่ที่จะช่วยเพิ่มเงินค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อความสามารถในการแข่งขันและธุรกิจมากนัก”
.
นอกจากนี้ ฌอง-อีฟส์ เลอ แดรง รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ก็ได้ออกมากล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่ามาครงบอกกับทรัมป์ว่าไม่ควรมาแทรกแซงกิจการภายในของฝรั่งเศส หลังจากที่ทรัมพ์เพิ่งโพสต์หลายข้อความในทวิตเตอร์ซึ่งมีลักษณะเย้ยหยันมาครงในประเด็นการประท้วงของกลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง
.
ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองได้ร่วมเดินขบวนประท้วงอย่างต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ที่ 4 แล้วโดยมีผู้ชุมนุมประมาณ 136,000 รายในทั่วประเทศ จากตัวเลขของกระทรวงมหาดไทย จำนวนผู้ถูกจับกุมขณะนี้อยู่ที่ 2,000 คนในทั่วประเทศ และยังมีผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ราว 1,700 คน
ที่มาสำนักข่าวซินหัว
Like : "MnemoniC"
View all 1 comments >
# Mon 10 Dec 2018 : 10:10PM
แอ็ปเปิ้ลโดนจีนเล่นกลับบ้าง
ศาลจีนรับคดี Qualcomm มีคำสั่งให้บริษัท Apple ยุติการขาย Iphone (บาง Model เช่น iPhone 6s, 6s Plus, 7, 7 Plus, iPhone 8, 8 Plus and iPhone X.) พร้อมยกเลิกการนำเข้าในประเทศจีน
ล่าสุดราคาหุ้น Apple ติดลบ 3.5%, Qualcomm +2.98%
ศาลจีนรับคดี Qualcomm มีคำสั่งให้บริษัท Apple ยุติการขาย Iphone (บาง Model เช่น iPhone 6s, 6s Plus, 7, 7 Plus, iPhone 8, 8 Plus and iPhone X.) พร้อมยกเลิกการนำเข้าในประเทศจีน
ล่าสุดราคาหุ้น Apple ติดลบ 3.5%, Qualcomm +2.98%
# Tue 11 Dec 2018 : 10:51AM
เจ้าของเรื่อง #piya malakul
ฝรั่งเศสวันนี้ เกิดตีกัน อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในสมัยนี้ คนเราถ้าความคิดเห็นไม่ตรงกันแล้วออกมาไล่ฆ่ากัน ขนาดสถานทูตไทยในกรุงปารีส ออกแถลงการณ์ขอร้องคนไทยอย่าไปนครปารีสตอนนี้ ลองอ่านที่คุณ กมล กมลตระกูล ท่านเขียนไว้เราจะเข้าใจยิ่งขึ้น ต้องขอขอบคุณคุณกมล ที่เขียนทำให้เราชัดเจน ด้วยที่ได้อธิบายอย่างชัดเจน
ปารีสวันนี้
กมล กมลตระกูล
๙/๑๒/๖๑
ข่าวล่าส่งจากคนไทยใน Paris
เดี่ยวนี้.....ดังนี้ ครับ
ร้านค้าเขต 8ème Champs-Elysées, Saint Honoré เขต. 9ème Boulevard Haussmann, 4ème BHV, Hôtel de Ville, 15ème Montpanass, 13ème Places d'Italie ปิด
เพื่อนหลายท่านถามเรื่องที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส ผมขออธิบายยาวหน่อยดังนี้ครับ
ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีมาครงของฝรั่งเศสเชื่อต่างกันในเรื่องภาวะโลกร้อน
ทรัมป์ไม่แคร์ แถมมีพฤติกรรมสนับสนุนการใช้พลังงานจากฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน
ส่วนมาครง คิดเรื่องการลดภาวะโลกร้อนด้วยการให้ประชาชนคนฝรั่งเศสลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
มาครงคิดวิธีการลดภาวะโลกร้อนอยู่มากมายหลายโครงการ หนึ่งในโครงการนั้นก็คือ การเก็บภาษีคาร์บอนเพิ่มกับคนที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนซึ่งหมายถึงคนที่ใช้น้ำมันกับรถยนต์
ใครที่ติดตามข่าวการประท้วงในฝรั่งเศสจะเห็นว่ามีหลายภาพที่คนพ่นสีเขียนว่า
'มาครง = หลุยส์ที่ 16’
ข้อความนี้น่าจะโยงถึงนโยบายของมาครง ที่กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดภาษีบริษัทห้างร้านและลดภาษีภาษีทรัพย์สิน จากเดิมร้อยละ 33 ให้เหลือร้อยละ 25 โดยมาครงอ้างว่าต้องการให้บริษัทหรือคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจมีกำไรมากขึ้น จะได้รับคนทำงานเพิ่มขึ้น
“ ผู้ประท้วงต่างคิดว่านี่คือนโยบายช่วยคนรวย “
“มาครง “ ปฏิรูประบบเงินบำนาญผู้สูงอายุ ซึ่งผู้คนเหล่านั้นแก่แล้ว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทว่าในอดีตได้ผู้สูงวัยเหล่านี้เคยก่อร่างสร้างความมั่งคั่งให้กับฝรั่งเศส “ มาครง “ จะปฏิรูปเพื่อลดความช่วยเหลือผู้สูงอายุ เพราะต้องการลดการขาดดุลงบประมาณลง 6 หมื่นล้านยูโร เพื่อไม่ให้ใช้งบประมาณขาดดุลเกิดร้อยละ 3 ของจีดีพีตามนโยบายของสหภาพยุโรป
ค่าครองชีพในกรุงปารีสสูงปรี๊ด คนที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลางอยู่ลำบาก
ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงอพยพจากอาร์รงดิสม็องหรืออำเภอต่างๆ ของปารีสไปอยู่ต่างจังหวัด
การมีชีวิตในแคว้นอัลซาส อากีแตน โอแวรญ์ บูร์กอญ ฟร็องช์-กงเต ฯลฯ ไม่มีการขนส่งสาธารณะมากเหมือนในกรุงปารีส ส่วนใหญ่จึงต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งรถยนต์ก็ต้องใช้น้ำมัน
การที่มาครงขึ้นภาษีน้ำมันทำให้ผู้คนเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น
เมื่อคนฝรั่งเศสถามว่า คุณเก็บภาษีเพิ่มได้เงินมากขึ้นอีก 1.5 ล้านล้านบาท คุณจะนำเงินนี้ไปทำอะไร นายมาครงตอบว่า ข้าพเจ้าจะนำไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
“ มาครง “ จะเอาภาษีที่เก็บจากคนใช้น้ำมันไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
“ มาครง “ ลดภาษีให้คนรวยจึงมีงบประมาณน้อยลง จากนั้นก็มาขึ้นภาษีจากคนจนที่ต้องออกไปจากกรุงปารีสเพราะสู้ค่าครองชีพไม่ไหว
ผู้คนจึงออกมาใส่ "เสื้อกั๊กสีเหลือง" ประท้วงกันไปทั่วประเทศ
รัฐบาลฝรั่งเศสบอกว่าการประท้วงครั้งนี้ทำโดยมืออาชีพ เพื่อให้เกิดความไม่สงบและเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินสาธารณะ
คำพูดที่ว่า "พวกประท้วงเป็นมืออาชีพ" เป็นการโยนน้ำมันลงไปในกองไฟ เพราะคนที่ออกมาประท้วงครั้งนี้เป็นพลังประชาชนอย่างแท้จริง ไม่มีเรื่องของฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา
ผู้คนจากพรรคฝ่ายซ้าย ไม่ว่าจะพรรคคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม พลังสาธารณรัฐและพลเมือง สีเขียว ฯลฯ
หรือผู้คนจากพรรคฝ่ายขวาอย่างพรรครวมพลังมวลชน พลังเพื่อฝรั่งเศส พลังสาธารณรัฐแห่งชาติ ฯลฯ ต่างออกมาประท้วงอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷
ฝรั่งเศสวันนี้ เกิดตีกัน อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในสมัยนี้ คนเราถ้าความคิดเห็นไม่ตรงกันแล้วออกมาไล่ฆ่ากัน ขนาดสถานทูตไทยในกรุงปารีส ออกแถลงการณ์ขอร้องคนไทยอย่าไปนครปารีสตอนนี้ ลองอ่านที่คุณ กมล กมลตระกูล ท่านเขียนไว้เราจะเข้าใจยิ่งขึ้น ต้องขอขอบคุณคุณกมล ที่เขียนทำให้เราชัดเจน ด้วยที่ได้อธิบายอย่างชัดเจน
ปารีสวันนี้
กมล กมลตระกูล
๙/๑๒/๖๑
ข่าวล่าส่งจากคนไทยใน Paris
เดี่ยวนี้.....ดังนี้ ครับ
ร้านค้าเขต 8ème Champs-Elysées, Saint Honoré เขต. 9ème Boulevard Haussmann, 4ème BHV, Hôtel de Ville, 15ème Montpanass, 13ème Places d'Italie ปิด
เพื่อนหลายท่านถามเรื่องที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส ผมขออธิบายยาวหน่อยดังนี้ครับ
ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีมาครงของฝรั่งเศสเชื่อต่างกันในเรื่องภาวะโลกร้อน
ทรัมป์ไม่แคร์ แถมมีพฤติกรรมสนับสนุนการใช้พลังงานจากฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน
ส่วนมาครง คิดเรื่องการลดภาวะโลกร้อนด้วยการให้ประชาชนคนฝรั่งเศสลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
มาครงคิดวิธีการลดภาวะโลกร้อนอยู่มากมายหลายโครงการ หนึ่งในโครงการนั้นก็คือ การเก็บภาษีคาร์บอนเพิ่มกับคนที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนซึ่งหมายถึงคนที่ใช้น้ำมันกับรถยนต์
ใครที่ติดตามข่าวการประท้วงในฝรั่งเศสจะเห็นว่ามีหลายภาพที่คนพ่นสีเขียนว่า
'มาครง = หลุยส์ที่ 16’
ข้อความนี้น่าจะโยงถึงนโยบายของมาครง ที่กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดภาษีบริษัทห้างร้านและลดภาษีภาษีทรัพย์สิน จากเดิมร้อยละ 33 ให้เหลือร้อยละ 25 โดยมาครงอ้างว่าต้องการให้บริษัทหรือคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจมีกำไรมากขึ้น จะได้รับคนทำงานเพิ่มขึ้น
“ ผู้ประท้วงต่างคิดว่านี่คือนโยบายช่วยคนรวย “
“มาครง “ ปฏิรูประบบเงินบำนาญผู้สูงอายุ ซึ่งผู้คนเหล่านั้นแก่แล้ว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทว่าในอดีตได้ผู้สูงวัยเหล่านี้เคยก่อร่างสร้างความมั่งคั่งให้กับฝรั่งเศส “ มาครง “ จะปฏิรูปเพื่อลดความช่วยเหลือผู้สูงอายุ เพราะต้องการลดการขาดดุลงบประมาณลง 6 หมื่นล้านยูโร เพื่อไม่ให้ใช้งบประมาณขาดดุลเกิดร้อยละ 3 ของจีดีพีตามนโยบายของสหภาพยุโรป
ค่าครองชีพในกรุงปารีสสูงปรี๊ด คนที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลางอยู่ลำบาก
ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงอพยพจากอาร์รงดิสม็องหรืออำเภอต่างๆ ของปารีสไปอยู่ต่างจังหวัด
การมีชีวิตในแคว้นอัลซาส อากีแตน โอแวรญ์ บูร์กอญ ฟร็องช์-กงเต ฯลฯ ไม่มีการขนส่งสาธารณะมากเหมือนในกรุงปารีส ส่วนใหญ่จึงต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งรถยนต์ก็ต้องใช้น้ำมัน
การที่มาครงขึ้นภาษีน้ำมันทำให้ผู้คนเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น
เมื่อคนฝรั่งเศสถามว่า คุณเก็บภาษีเพิ่มได้เงินมากขึ้นอีก 1.5 ล้านล้านบาท คุณจะนำเงินนี้ไปทำอะไร นายมาครงตอบว่า ข้าพเจ้าจะนำไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
“ มาครง “ จะเอาภาษีที่เก็บจากคนใช้น้ำมันไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
“ มาครง “ ลดภาษีให้คนรวยจึงมีงบประมาณน้อยลง จากนั้นก็มาขึ้นภาษีจากคนจนที่ต้องออกไปจากกรุงปารีสเพราะสู้ค่าครองชีพไม่ไหว
ผู้คนจึงออกมาใส่ "เสื้อกั๊กสีเหลือง" ประท้วงกันไปทั่วประเทศ
รัฐบาลฝรั่งเศสบอกว่าการประท้วงครั้งนี้ทำโดยมืออาชีพ เพื่อให้เกิดความไม่สงบและเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินสาธารณะ
คำพูดที่ว่า "พวกประท้วงเป็นมืออาชีพ" เป็นการโยนน้ำมันลงไปในกองไฟ เพราะคนที่ออกมาประท้วงครั้งนี้เป็นพลังประชาชนอย่างแท้จริง ไม่มีเรื่องของฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา
ผู้คนจากพรรคฝ่ายซ้าย ไม่ว่าจะพรรคคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม พลังสาธารณรัฐและพลเมือง สีเขียว ฯลฯ
หรือผู้คนจากพรรคฝ่ายขวาอย่างพรรครวมพลังมวลชน พลังเพื่อฝรั่งเศส พลังสาธารณรัฐแห่งชาติ ฯลฯ ต่างออกมาประท้วงอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷🇫🇷
Like : "MnemoniC"
# Tue 11 Dec 2018 : 12:55PM
ล่าสุดนายมาครง งัดไม้เด็ดเพื่อหวังสยบม็อบเสื้อกั๊กเหลืองในประเทศฝรั่งเศส ด้วยการประกาศไม่เก็บภาษี OT และไม่เก็บภาษีโบนัสปลายปี (แต่เดิมเก็บหมด) และยังประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เดือนละ 100 ยูโร!!
- แต่เพื่อไม่ให้กระทบนายจ้างหรือผู้ประกอบการ รัฐบาลฝรั่งเศสจะเอาเงินภาษีมาจ่ายให้ทั้งหมด!!! โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ระบุว่า รัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 8,000 - 10,000 ล้านยูโรหรือราว 300,000 - 370,000 ล้านบาท
ซึ่งตอนนี้ในรัฐบาลฝรั่งเศสกำลังดูว่าจะหาทางจัดการ (หาตรงไหนมาโปะ) กับค่าใช้จ่ายนี้อย่างไร
- ในขณะสื่อได้ไปสัมภาษ๊์กลุ่มม็อบเสื้อกั๊กเหลืองบางรายก็แสดงปฏิกริยาว่า "มาครงควรจะให้เพิ่มได้มากกว่านี้" ส่วนพรรคฝ่ายซ้ายบอกว่า มาครงเพียงแค่ซื้อเวลาระยะสั้นเท่านั้น
- ส่วนพรรคฝ่ายขวาพูดถึงมาครงว่า มันก็ไม่ใช่ความผิดของมครงทั้งหมดที่ต้องมาเจอปัญหาเหล่านี้หรอก (มันสะสมมาจากทุกรัฐบาลที่ผ่านมา)
- ก็ต้องดูกันไปครับ หลังจากแผนการเอาใจม็อบในระยะสั้นนี้ มาครงจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไรต่อ เพราะสถาการณ์ความรุนแรงของผู้ประท้วงในฝรั่งเศสมันไม่จบง่ายๆ หรอก ต่อให้ตอนนี้ม็อบซาตัวลง แต่ปัญหาต่างๆ ยังมีอีกมากมาย ตอนนี้ก็แค่ซื้อเวลาเท่านั้น...
https://www.bbc.com/news/world-europe-46513189
https://www.abc.net.au/news/2018-12-11/macron-to-speed-up-tax-cuts-amid-yellow-vests-unrest/10603766
- แต่เพื่อไม่ให้กระทบนายจ้างหรือผู้ประกอบการ รัฐบาลฝรั่งเศสจะเอาเงินภาษีมาจ่ายให้ทั้งหมด!!! โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ระบุว่า รัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 8,000 - 10,000 ล้านยูโรหรือราว 300,000 - 370,000 ล้านบาท
ซึ่งตอนนี้ในรัฐบาลฝรั่งเศสกำลังดูว่าจะหาทางจัดการ (หาตรงไหนมาโปะ) กับค่าใช้จ่ายนี้อย่างไร
- ในขณะสื่อได้ไปสัมภาษ๊์กลุ่มม็อบเสื้อกั๊กเหลืองบางรายก็แสดงปฏิกริยาว่า "มาครงควรจะให้เพิ่มได้มากกว่านี้" ส่วนพรรคฝ่ายซ้ายบอกว่า มาครงเพียงแค่ซื้อเวลาระยะสั้นเท่านั้น
- ส่วนพรรคฝ่ายขวาพูดถึงมาครงว่า มันก็ไม่ใช่ความผิดของมครงทั้งหมดที่ต้องมาเจอปัญหาเหล่านี้หรอก (มันสะสมมาจากทุกรัฐบาลที่ผ่านมา)
- ก็ต้องดูกันไปครับ หลังจากแผนการเอาใจม็อบในระยะสั้นนี้ มาครงจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไรต่อ เพราะสถาการณ์ความรุนแรงของผู้ประท้วงในฝรั่งเศสมันไม่จบง่ายๆ หรอก ต่อให้ตอนนี้ม็อบซาตัวลง แต่ปัญหาต่างๆ ยังมีอีกมากมาย ตอนนี้ก็แค่ซื้อเวลาเท่านั้น...
https://www.bbc.com/news/world-europe-46513189
https://www.abc.net.au/news/2018-12-11/macron-to-speed-up-tax-cuts-amid-yellow-vests-unrest/10603766
Like : "MnemoniC"
# Wed 12 Dec 2018 : 11:46AM
คนไทยเสียชีวิตจาก เหตุการณ์ยิงกราดที่ฝรั่งเศส
ด่วน! สยองกราดยิงสนั่นตลาดคริสต์มาสกลาง ฝรั่งเศส พบมีคนไทยเสียชีวิต 1 ราย ด้าน เพจ “ส.น.ท.ฝ.” โพสต์แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตชาวไทยในครั้งนี้ด้วย และขอให้ทุกคนอยู่ในความระมัดระวัง
เกิดเหตุมือปืนรายหนึ่งกราดยิงใกล้กับตลาดคริสต์มาสในเมืองสทราซบูร์ แคว้นอาลซัสของฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับพรมแดนประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย และบาดเจ็บอีก 11 คน ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไว้ได้
เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้คนร้ายลงมือก่อเหตุครั้งนี้ ขณะที่อัยการด้านต่อต้านการก่อการร้ายได้เริ่มต้นสอบสวนในกรณีดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ฝรั่งเศสยังอยู่ในการเฝ้าระวังขั้นสูงสุด หลังมีการก่อเหตุโจมตีหลายครั้งภายใต้แรงบันดาลใจจากกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) นับตั้งแต่ต้นปี 2558 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ
หลังก่อเหตุมือปืนสามารถหลบหนีไปได้ ทำให้ทางการระดมกำลังไล่ล่าทั้งในภาคพื้นดินและขึ้นบินหาทางอากาศ ก่อนที่มือปืนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมตัวไว้ได้ในเวลาราว 2 ชั่วโมงให้หลัง ทั้งนี้ แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ได้มีการยิงต่อสู้กันระหว่างตำรวจกับคนร้ายด้วย
ขอบคุณข่าวจาก ชมรมสตรีไทยในฝรั่งเศส
ผู้เสียชีวิตชื่อคุณบอย แอมไทยของแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ด้วย
ด่วน! สยองกราดยิงสนั่นตลาดคริสต์มาสกลาง ฝรั่งเศส พบมีคนไทยเสียชีวิต 1 ราย ด้าน เพจ “ส.น.ท.ฝ.” โพสต์แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตชาวไทยในครั้งนี้ด้วย และขอให้ทุกคนอยู่ในความระมัดระวัง
เกิดเหตุมือปืนรายหนึ่งกราดยิงใกล้กับตลาดคริสต์มาสในเมืองสทราซบูร์ แคว้นอาลซัสของฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับพรมแดนประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย และบาดเจ็บอีก 11 คน ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไว้ได้
เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้คนร้ายลงมือก่อเหตุครั้งนี้ ขณะที่อัยการด้านต่อต้านการก่อการร้ายได้เริ่มต้นสอบสวนในกรณีดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ฝรั่งเศสยังอยู่ในการเฝ้าระวังขั้นสูงสุด หลังมีการก่อเหตุโจมตีหลายครั้งภายใต้แรงบันดาลใจจากกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) นับตั้งแต่ต้นปี 2558 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ
หลังก่อเหตุมือปืนสามารถหลบหนีไปได้ ทำให้ทางการระดมกำลังไล่ล่าทั้งในภาคพื้นดินและขึ้นบินหาทางอากาศ ก่อนที่มือปืนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมตัวไว้ได้ในเวลาราว 2 ชั่วโมงให้หลัง ทั้งนี้ แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ได้มีการยิงต่อสู้กันระหว่างตำรวจกับคนร้ายด้วย
ขอบคุณข่าวจาก ชมรมสตรีไทยในฝรั่งเศส
ผู้เสียชีวิตชื่อคุณบอย แอมไทยของแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ด้วย
# Wed 12 Dec 2018 : 5:50PM
หุ้นปิดตลาดบวก 1.26 จุด ดัชนี 1,634 จุด มูลค่าซื้อขาย 3.6 หมื่นล้าน
5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุด
5 อันดับหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ [Link]
อัพเดทปลดล็อคแล้วตลาดเทรดดัชนีบวกทันที
# Wed 12 Dec 2018 : 7:41PM
13 ธ.ค. 61 เวลา 05.00 น. บางจากฯ ลดราคาน้ำมันเฉพาะกลุ่มดีเซล -30 ส.ต.
.
BCP Retail Price: GSH95=27.45 // GSH91=27.18 // E20=24.44 // E85=20.09 // Diesel=26.79 // Hi Premium Diesel S = 30.66 (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่ กทม.)
ฉลองปลดล็อคพรรคการเมืองกันใหญ่เลย บางจากเปิดเกมยุทธศาสตร์ก่อน ปตท.
สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อ-ขายทอง ประจำวันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561 เมื่อเวลา 09.27 น. ซึ่งราคาปรับลง 50 บาท
ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 18,904.52 บาท ขายออกบาทละ 19,850.00 บาท
ราคาทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 19,250.00 บาท ขายออกบาทละ 19,350.00 บาท
[Edited 2 times "MnemoniC" - Last Edit 2018-12-12 21:01:09]
# Wed 12 Dec 2018 : 10:24PM
ดิจิทัลคอนเทนต์หนุน อุตฯเกมติดลมบน
อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์เป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมอนาคต ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย
โดย...ภูวดล โกมลรัตนเสถียร
อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และเป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมอนาคต ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านของยุคดิจิทัล รวมมูลค่ามากกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท
เพิ่มบุญ เอี่ยมสุภาษิต อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย (ทีจีเอ) กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเกมในประเทศไทยปี 2561 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีมูลค่าอยู่ที่ 2.09 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่ 1.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการเติบโตของตลาดผู้จัดจำหน่าย ผู้นำเข้า และผู้ดูแลลิขสิทธิ์ที่มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องกว่า 18% มีสัดส่วนที่ 2.02 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญมาจากการพัฒนาเกมที่สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคทุกกลุ่มให้เข้าถึงเกมได้ง่าย รวดเร็ว จากเดิมที่เกมยังถูกจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่ม ทำให้แนวโน้มการบริโภคเกมผ่านโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟนในระบบแอนดรอยด์ ไอโอเอส รวมถึงเครื่องเกมตู้ หรือ อาเขตเกม ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สวนทางกับการบริโภคเกมผ่านคอมพิวเตอร์ที่ในปี 2560 มีมูลค่าลดลงอยู่ที่ 5,253 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 6,618 ล้านบาท
ขณะที่สัดส่วนมูลค่ากลุ่มผู้รับจ้างผลิตและผู้ที่มีทรัพย์สินทางปัญญาเป็นของตนเองค่อนข้างทรงตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสตูดิโอพัฒนาเกมที่เกิดขึ้นใหม่ต่อเนื่อง และการแข่งขันที่สูงจากประเทศในภูมิภาค ดังนั้นการพัฒนาเกมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตจะปรับเปลี่ยนวิธีนำเสนอ นอกจากเพื่อความบันเทิงและสนุกสนาน ยังคำนึงถึงการสร้างเพื่อแข่งขันกีฬาอี-สปอร์ต รวมถึงการแข่งขันด้านคุณภาพเกมที่ใช้ระยะเวลาในการพัฒนามากกว่า 1-2 ปี
สำหรับเม็ดเงินลงทุนในการสร้างเกมคุณภาพระดับ AAA จะต้องใช้เงินลงทุนกว่า 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ส่วนใหญ่ตลาดเกมในไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้าเกมเพื่อบริโภคเป็นหลัก ราว 1.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 19% โดยมูลค่าผู้ผลิตของไทยมีมูลค่าราว 720 ล้านบาท หรือเพียง 5% ของตลาดรวม เนื่องจากยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการลงทุน หรือคู่แข่งจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่เชื่อว่าหากภาครัฐเร่งผลักดันและช่วยสนับสนุนแหล่งเงินทุนให้ผู้ประกอบการ จะช่วยให้สัดส่วนผู้ผลิตของไทยมีแนวโน้มเติบโตและเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น
พร้อมกันนี้ต้องการให้ภาครัฐผลักดันผู้ประกอบการไทยโรดโชว์ นำเกมไทยออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพของผู้ผลิตเกมไทยและเพื่อเพิ่มเม็ดเงินจากการส่งออกเกมที่ปัจจุบันอยู่ที่ 398 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1% จากเดิมที่ 435 ล้านบาท
เพิ่มบุญ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มใน 1-2 ปีจากนี้ ตลาดเกมยังเติบโตต่อเนื่อง จากจำนวนผู้บริโภคและนักพัฒนาเกมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนที่จะตอบสนองอุตสาหกรรมเกม โดยคาดว่าในปีหน้าตลาดเกมจะมีมูลค่าอยู่ที่ 2.28 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%
เช่นเดียวกับตลาดคาแรกเตอร์ที่จะเพิ่มขึ้น 10% อยู่ที่ 2,448 ล้านบาท ส่วนตลาดแอนิเมชั่นอยู่ที่ 4,025 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดจะเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ในอนาคต
ที่มา: โพสต์ ทูเดย์ [Link]
อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์เป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมอนาคต ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย
โดย...ภูวดล โกมลรัตนเสถียร
อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และเป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมอนาคต ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านของยุคดิจิทัล รวมมูลค่ามากกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท
เพิ่มบุญ เอี่ยมสุภาษิต อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย (ทีจีเอ) กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเกมในประเทศไทยปี 2561 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีมูลค่าอยู่ที่ 2.09 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่ 1.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการเติบโตของตลาดผู้จัดจำหน่าย ผู้นำเข้า และผู้ดูแลลิขสิทธิ์ที่มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องกว่า 18% มีสัดส่วนที่ 2.02 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญมาจากการพัฒนาเกมที่สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคทุกกลุ่มให้เข้าถึงเกมได้ง่าย รวดเร็ว จากเดิมที่เกมยังถูกจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่ม ทำให้แนวโน้มการบริโภคเกมผ่านโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟนในระบบแอนดรอยด์ ไอโอเอส รวมถึงเครื่องเกมตู้ หรือ อาเขตเกม ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สวนทางกับการบริโภคเกมผ่านคอมพิวเตอร์ที่ในปี 2560 มีมูลค่าลดลงอยู่ที่ 5,253 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 6,618 ล้านบาท
ขณะที่สัดส่วนมูลค่ากลุ่มผู้รับจ้างผลิตและผู้ที่มีทรัพย์สินทางปัญญาเป็นของตนเองค่อนข้างทรงตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสตูดิโอพัฒนาเกมที่เกิดขึ้นใหม่ต่อเนื่อง และการแข่งขันที่สูงจากประเทศในภูมิภาค ดังนั้นการพัฒนาเกมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตจะปรับเปลี่ยนวิธีนำเสนอ นอกจากเพื่อความบันเทิงและสนุกสนาน ยังคำนึงถึงการสร้างเพื่อแข่งขันกีฬาอี-สปอร์ต รวมถึงการแข่งขันด้านคุณภาพเกมที่ใช้ระยะเวลาในการพัฒนามากกว่า 1-2 ปี
สำหรับเม็ดเงินลงทุนในการสร้างเกมคุณภาพระดับ AAA จะต้องใช้เงินลงทุนกว่า 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ส่วนใหญ่ตลาดเกมในไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้าเกมเพื่อบริโภคเป็นหลัก ราว 1.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 19% โดยมูลค่าผู้ผลิตของไทยมีมูลค่าราว 720 ล้านบาท หรือเพียง 5% ของตลาดรวม เนื่องจากยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการลงทุน หรือคู่แข่งจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่เชื่อว่าหากภาครัฐเร่งผลักดันและช่วยสนับสนุนแหล่งเงินทุนให้ผู้ประกอบการ จะช่วยให้สัดส่วนผู้ผลิตของไทยมีแนวโน้มเติบโตและเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น
พร้อมกันนี้ต้องการให้ภาครัฐผลักดันผู้ประกอบการไทยโรดโชว์ นำเกมไทยออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพของผู้ผลิตเกมไทยและเพื่อเพิ่มเม็ดเงินจากการส่งออกเกมที่ปัจจุบันอยู่ที่ 398 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1% จากเดิมที่ 435 ล้านบาท
เพิ่มบุญ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มใน 1-2 ปีจากนี้ ตลาดเกมยังเติบโตต่อเนื่อง จากจำนวนผู้บริโภคและนักพัฒนาเกมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนที่จะตอบสนองอุตสาหกรรมเกม โดยคาดว่าในปีหน้าตลาดเกมจะมีมูลค่าอยู่ที่ 2.28 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%
เช่นเดียวกับตลาดคาแรกเตอร์ที่จะเพิ่มขึ้น 10% อยู่ที่ 2,448 ล้านบาท ส่วนตลาดแอนิเมชั่นอยู่ที่ 4,025 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดจะเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ในอนาคต
ที่มา: โพสต์ ทูเดย์ [Link]
อีกไม่นานอุตสาหกรรมวิดีโอเกมส์จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจในด้านดิจิทัลคอนเทนต์ ที่จะยกระดับความก้าวหน้าให้ด้านเศรษฐกิจดิจิทัลไทย มูลค่าการเติบโตของธุรกิจคอนเทนต์นี้แค่ห้าปีโตเกือบเท่าตัว ไม่นานอาจเห็นมีการลงทุนกับต่างๆชาติเรื่องวิดีโอเกมเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว รวมทั้งสื่อดิจิทัลอื่นๆด้วย
# Fri 14 Dec 2018 : 3:20PM
สหรัฐเลือกปฏิบัติคดีเจ้าหญิงหัวเหว่ย
นายJeffrey Sachs อาจารย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่มีชื่อเสียงด้านทำวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เขียนบทความวิจารณ์รัฐบาลสหรัฐที่เลือกปฏิบัติในกรณีจับกุมเจ้าหญิงหัวเหว่ย ในขณะที่ไม่ปรากฎว่าสหรัฐได้จับกุมผู้บริหารแบงก์หรือซีอีโอ ซีเอฟโอของบริษัทอื่นๆที่มีการละเมิดกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐแต่ประการใด
Double American standard
อาจารย์แซคส์บอกว่า ในปี 2011 JP Morgan Chase ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐจ่ายเงิน $88.3เพื่อเป็นค่าปรับในการละเมิดกฎหมายแซงชั่นคิวบา อิหร่านและซูดานของสหรัฐ ในขณะเดียวกันไม่ปรากฎว่ารัฐบาลสหรัฐจับตัวนายJamie Dimonที่เป็นซีอีโอของ JP Morgan Chaseให้เข้าคุกแต่ประการใด นายดีมอนยังคงลอยนวลอยู่ดีกินดี ให้แบงก์รับเคราะห์ไปนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง
ไม่เพียงแต่ธนาคาร JP Morgan Chaseเท่านั้นที่ละเมิดกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2010เป็นต้นมา มีสถาบันการเงินหลายแห่งฝ่าฝืนกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐ เช่น Banco do Brasil, Bank of America, Bank of Guam, Bank of Moscow, Bank of Tokyo-Mitsubishi, Barclays, BNP Paribas, Clearstream Banking, Commerzbank, Compass, Crédit Agricole, Deutsche Bank, HSBC, ING, Intesa Sanpaolo, JP Morgan Chase, National Bank of Abu Dhabi, National Bank of Pakistan, PayPal, RBS (ABN Amro), Société Générale, Toronto-Dominion Bank, Trans-Pacific National Bank (now known as Beacon Business Bank), Standard Chartered, และ Wells Fargo.
ที่สำคัญ ไม่ปรากฎว่าซีอีโอ หรือซีเอฟโอของธนาคารเหล่านี้ที่ละเมิดกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐถูกจับขังคุก เหมือนกับที่เมิ่น หว่านโจว ซีเอฟโอของหัวเหว่ย เทคโนโลยี่ส์ที่โดนจับขังคุก
ในทุกกรณีของการละเมิดกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐ บริษัทหรือสถาบันการเงินต้องรับผิดชอบ คือถูกฟ้องร้อง ถูกปรับเป็นเงินไปตามระเบียบ แต่ไม่มีการฟ้องร้อง หรือจับตัวบุคคลที่เป็นซีอีโอ หรือซีเอฟโอเข้าคุกแต่ประการใด
นอกจากนี้ ตั้งแต่วิกฤติการเงินปี2008 สถาบันการเงินต่างๆมีการจ่ายค่าปรับรวมกัน$243,000ล้าน ที่ฝ่าฝืนกฎหมายการธนาคาร มีการทำธุรกรรมที่ฉ้อฉลผิดกฎหมาย แต่ไม่ปรากฎว่าผู้บริหารแบงก์รายใดถูกจับเข้าคุก
แสดงว่าการจับเมิ่น หว่านโจวมีวาระทางการเมืองแอบแฝง หรือเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะว่าหัวเหว่ายเป็นบริษัทเทคโนโลยี่แนวหน้าของจีนที่สหรัฐต้องการสกัด เพื่อปกป้องบริษัทเทคโนโลยี่ของสหรัฐที่ตามไม่ทันหัวเหว่ย
นายแซคส์สรุปว่า คดีหัวเหว่ยเป็นความพยายามของสหรัฐที่จะทำลายเศรษฐกิจจีนด้วยการตั้งกำแพงภาษีกีดกันการค้า ปิดตลาดโลกตะวันตกไม่ให้จีนส่งออกสินค้าเทคโนโลยี่ได้ และบล็อคไม่ให้จีนซื้อบริษัทเทคโนโลยี่ของสหรัฐและยุโรป กล่าวโดยรวม คดีหัวเหว่ยเป็นส่วนหนึ่งของสงครามการค้าที่สหรัฐก่อกับจีนอย่างชุ่ยๆ
https://www.project-syndicate.org/commentary/trump-war-on-huawei-meng-wanzhou-arrest-by-jeffrey-d-sachs-2018-12
Thanong Fanpage
นายJeffrey Sachs อาจารย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่มีชื่อเสียงด้านทำวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เขียนบทความวิจารณ์รัฐบาลสหรัฐที่เลือกปฏิบัติในกรณีจับกุมเจ้าหญิงหัวเหว่ย ในขณะที่ไม่ปรากฎว่าสหรัฐได้จับกุมผู้บริหารแบงก์หรือซีอีโอ ซีเอฟโอของบริษัทอื่นๆที่มีการละเมิดกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐแต่ประการใด
Double American standard
อาจารย์แซคส์บอกว่า ในปี 2011 JP Morgan Chase ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐจ่ายเงิน $88.3เพื่อเป็นค่าปรับในการละเมิดกฎหมายแซงชั่นคิวบา อิหร่านและซูดานของสหรัฐ ในขณะเดียวกันไม่ปรากฎว่ารัฐบาลสหรัฐจับตัวนายJamie Dimonที่เป็นซีอีโอของ JP Morgan Chaseให้เข้าคุกแต่ประการใด นายดีมอนยังคงลอยนวลอยู่ดีกินดี ให้แบงก์รับเคราะห์ไปนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง
ไม่เพียงแต่ธนาคาร JP Morgan Chaseเท่านั้นที่ละเมิดกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2010เป็นต้นมา มีสถาบันการเงินหลายแห่งฝ่าฝืนกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐ เช่น Banco do Brasil, Bank of America, Bank of Guam, Bank of Moscow, Bank of Tokyo-Mitsubishi, Barclays, BNP Paribas, Clearstream Banking, Commerzbank, Compass, Crédit Agricole, Deutsche Bank, HSBC, ING, Intesa Sanpaolo, JP Morgan Chase, National Bank of Abu Dhabi, National Bank of Pakistan, PayPal, RBS (ABN Amro), Société Générale, Toronto-Dominion Bank, Trans-Pacific National Bank (now known as Beacon Business Bank), Standard Chartered, และ Wells Fargo.
ที่สำคัญ ไม่ปรากฎว่าซีอีโอ หรือซีเอฟโอของธนาคารเหล่านี้ที่ละเมิดกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐถูกจับขังคุก เหมือนกับที่เมิ่น หว่านโจว ซีเอฟโอของหัวเหว่ย เทคโนโลยี่ส์ที่โดนจับขังคุก
ในทุกกรณีของการละเมิดกฎหมายแซงชั่นของสหรัฐ บริษัทหรือสถาบันการเงินต้องรับผิดชอบ คือถูกฟ้องร้อง ถูกปรับเป็นเงินไปตามระเบียบ แต่ไม่มีการฟ้องร้อง หรือจับตัวบุคคลที่เป็นซีอีโอ หรือซีเอฟโอเข้าคุกแต่ประการใด
นอกจากนี้ ตั้งแต่วิกฤติการเงินปี2008 สถาบันการเงินต่างๆมีการจ่ายค่าปรับรวมกัน$243,000ล้าน ที่ฝ่าฝืนกฎหมายการธนาคาร มีการทำธุรกรรมที่ฉ้อฉลผิดกฎหมาย แต่ไม่ปรากฎว่าผู้บริหารแบงก์รายใดถูกจับเข้าคุก
แสดงว่าการจับเมิ่น หว่านโจวมีวาระทางการเมืองแอบแฝง หรือเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะว่าหัวเหว่ายเป็นบริษัทเทคโนโลยี่แนวหน้าของจีนที่สหรัฐต้องการสกัด เพื่อปกป้องบริษัทเทคโนโลยี่ของสหรัฐที่ตามไม่ทันหัวเหว่ย
นายแซคส์สรุปว่า คดีหัวเหว่ยเป็นความพยายามของสหรัฐที่จะทำลายเศรษฐกิจจีนด้วยการตั้งกำแพงภาษีกีดกันการค้า ปิดตลาดโลกตะวันตกไม่ให้จีนส่งออกสินค้าเทคโนโลยี่ได้ และบล็อคไม่ให้จีนซื้อบริษัทเทคโนโลยี่ของสหรัฐและยุโรป กล่าวโดยรวม คดีหัวเหว่ยเป็นส่วนหนึ่งของสงครามการค้าที่สหรัฐก่อกับจีนอย่างชุ่ยๆ
https://www.project-syndicate.org/commentary/trump-war-on-huawei-meng-wanzhou-arrest-by-jeffrey-d-sachs-2018-12
Thanong Fanpage
# Fri 14 Dec 2018 : 6:58PM
「GEN News」
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานข่าวเศรษฐกิจเกี่ยวกับค่าเงินบาทในเอเชีย โดยค่าเงินบาทของไทยในขณะนี้อยู่ที่ 32.672 ต่อดอลล่าร์สหรัฐ แข็งขึ้นจากเดิม 0.3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นค่าเงินที่แข็งมากที่สุด เมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นๆในเอเชีย
.
ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา ตัวเลขเศรษฐกิจไทยมีเงินกำไรสะสมทุกเดือน และในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ไทยมีสัดส่วน Current Account ต่อการผลิตสินค้าภายในประเทศ (GDP) ที่ 7.7 เปอร์เซ็นต์ เป็นรองเพียงไต้หวันที่มีสัดส่วน 13 เปอร์เซ็นต์
.
แต่สิ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งตัวมากที่สุดในเอเชีย ก็คือสัดส่วนจำนวนของเงินทุนสำรองของไทยที่เพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 2.1 เท่าจากตัวเลขเดิมที่คาดการณ์โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และจำนวนเงินทุนสำรองของไทยนั้น มีทั้งหมดประมาณ 203,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนเงินทุนสำรองที่สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ในขณะที่อันดับ 2 และ 3 เป็นของฟิลิปปินส์และอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วนเงินทุนสำรองอยู่ที่ 1.9 เท่าและ 1.4 เท่าตามลำดับ ส่วนมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่างจีนนั้น มีสัดส่วนเงินทุนสำรองอยู่ที่ 0.9 เท่า
.
นอกจากนั้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ตลาดกองทุนพันธบัตรของไทย มีตัวเลขรายได้อยู่ที่ 9.2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท ส่วนตัวเลขการเจริญเติบทางเศรษฐกิจของไทยนั้น กระทรวงการคลังของไทยได้ให้ข้อมูลแก่สำนักข่าว Bloomberg ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้สามารถคาดการณ์การเจริญเติบโตอยู่ที่ 4.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าปีพ.ศ. 2560 ที่มีตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ที่ 3.9 เปอร์เซ็นต์
.....
จากเพจ(GEN)
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานข่าวเศรษฐกิจเกี่ยวกับค่าเงินบาทในเอเชีย โดยค่าเงินบาทของไทยในขณะนี้อยู่ที่ 32.672 ต่อดอลล่าร์สหรัฐ แข็งขึ้นจากเดิม 0.3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นค่าเงินที่แข็งมากที่สุด เมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นๆในเอเชีย
.
ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา ตัวเลขเศรษฐกิจไทยมีเงินกำไรสะสมทุกเดือน และในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ไทยมีสัดส่วน Current Account ต่อการผลิตสินค้าภายในประเทศ (GDP) ที่ 7.7 เปอร์เซ็นต์ เป็นรองเพียงไต้หวันที่มีสัดส่วน 13 เปอร์เซ็นต์
.
แต่สิ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งตัวมากที่สุดในเอเชีย ก็คือสัดส่วนจำนวนของเงินทุนสำรองของไทยที่เพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 2.1 เท่าจากตัวเลขเดิมที่คาดการณ์โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และจำนวนเงินทุนสำรองของไทยนั้น มีทั้งหมดประมาณ 203,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนเงินทุนสำรองที่สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ในขณะที่อันดับ 2 และ 3 เป็นของฟิลิปปินส์และอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วนเงินทุนสำรองอยู่ที่ 1.9 เท่าและ 1.4 เท่าตามลำดับ ส่วนมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่างจีนนั้น มีสัดส่วนเงินทุนสำรองอยู่ที่ 0.9 เท่า
.
นอกจากนั้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ตลาดกองทุนพันธบัตรของไทย มีตัวเลขรายได้อยู่ที่ 9.2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท ส่วนตัวเลขการเจริญเติบทางเศรษฐกิจของไทยนั้น กระทรวงการคลังของไทยได้ให้ข้อมูลแก่สำนักข่าว Bloomberg ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้สามารถคาดการณ์การเจริญเติบโตอยู่ที่ 4.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าปีพ.ศ. 2560 ที่มีตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ที่ 3.9 เปอร์เซ็นต์
.....
จากเพจ(GEN)
# Wed 19 Dec 2018 : 9:19AM
ทรัมป์ทำท่าไม่แยแสภาระหนี้สินของประเทศที่บานเบิกสูงลิ่วขึ้นทุกที โดยพูดทีเล่นทีจริงว่ากว่าปัญหานี้จะระเบิดตูมตาม เขาก็พ้นตำแหน่งไปแล้ว ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง พวกชาติเจ้าหนี้เอเชียก็ยังคงซื้อหาตราสารหนี้สหรัฐฯมาไว้ในครอบครองกันต่อไปด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ แต่สภาวการณ์เช่นนี้จะดำเนินต่อไปได้อีกนานสักแค่ไหน?
บรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารการเงินในปักกิ่ง, โตเกียว, และที่อื่นๆ ในเอเชีย กำลังเจอปัญหาปวดเศียรเวียนเกล้าขนาดมหึมาเท่าประเทศบราซิลทีเดียว ขณะที่ปี 2019 กำลังขยับใกล้เข้ามา รัฐบาลของประเทศพวกเขาจวบจนถึงบัดนี้คือผู้ที่ถือครองตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯรายใหญ่ที่สุด โดยที่ยอดหนี้สินดังกล่าวขยับเพิ่มขึ้นไปเกือบๆ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้วในยุคแห่งการเป็นประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์
คลื่นใหญ่ยักษ์หนี้สินสีแดงเถือกลูกนี้มีขนาดคร่าวๆ เท่ากับผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รายปีของบราซิลทีเดียว และเรื่องนี้ควรที่จะทำให้พวกนายแบงก์เจ้าหนี้ชาวเอเชียของทรัมป์รู้สึกกังวลใจ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.businessinsider.com/trump-debt-crisis-fine-wont-be-here-report-2018-12)
แผนกโลบายหมุนเงินแบบหากู้หนี้ใหม่มาชดใช้หนี้เก่า มีน้อยนักหนาที่จะก่อเกิดผลดีให้แก่พวกลูกค้าซึ่งนำเงินมา “ลงทุน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เข้ามาร่วมวงในช่วงหลังๆ กระนั้นรัฐบาลของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในกรุงปักกิ่ง และรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ในกรุงโตเกียว ก็ยังคงประสบกับสถานการณ์อันอิหลักอิเหลื่อ เมื่อต้องตัดสินใจเลือกว่าจะยังคงนำเอาเงินงบประมาณของรัฐเติมเข้าไปในแผนกโลบายเงินต่อเงินของวอชิงตันนี้ต่อไป หรือว่าจะตัดใจยุติยอมตัดขาดทุน
จริงๆ แล้วการขาดทุนดูจะหลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับจีนซึ่งซื้อหาพันธบัตรคลังสหรัฐฯเอาไว้เป็นมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และสำหรับญี่ปุ่นที่ครอบครองอยู่ 1.03 ล้านดอลลาร์
แล้วยังพวกเจ้าหนี้รายอื่นๆ ทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งซื้อตราสารเงินกู้ภาครัฐของอเมริกันเอาไว้ ก็มีหวังจะเจอกับชะตากรรมทำนองเดียวกัน ทั้งนี้ มีตัวเลขรายละเอียดว่า ฮ่องกงครอบครองอยู่ 192,000 ล้านดอลลาร์, ไต้หวัน 164,000 ล้านดอลลาร์, อินเดีย 144,000 ล้านดอลลาร์, สิงคโปร์ 135,000 ล้านดอลลาร์, เกาหลีใต้ 110,000 ล้านดอลลาร์, และประเทศไทย 66,000 ล้านดอลลาร์
อเมริกามาเป็นอันดับแรก พวกเจ้าหนี้ชาติเอเชียอยู่ในอันดับท้าย
หากเป็นการวางเดินพันต่อรองกันแล้ว แต้มต่อตอนนี้ก็อยู่ทางข้างที่ว่าเงินทองรวมกันมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งพวกชาติเอเชียปล่อยกู้ให้แก่แผนไม่ชอบมาพากลทางการคลังของทรัมป์นั้นมีหวังจะไม่ได้จบลงด้วยดี กระทั่งมาตรการตัดลดภาษีมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งพรรครีพับลิกันของเขาผลักดันออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้เมื่อช่วงปลายปี 2017 ก็ยังวางอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าพวกเจ้าหน้าที่เอเชียยินดีที่จะพากันซื้อหาพันธบัตรคลังสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://seekingalpha.com/news/3416548-u-s-national-debt-rising-fastest-pace-since-2012-bloomberg)
อย่างไรก็ตาม มองกันในบางแง่บางมุม การซื้อตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯก็ถือว่าเป็นการวางเดิมพันเล่นพนันที่สมเหตุสมผล ทั้งนี้ถ้าหากเอเชียได้เรียนรู้บทเรียนอะไรขึ้นมาจากการเผชิญวิกฤตการณ์ทั้งในช่วงปี 1997 (ที่ในไทยนิยมเรียกกันว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง -ผู้แปล) และในช่วงปี 2008 (ที่ในไทยนิยมเรียกกันว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ –ผู้แปล) แล้ว มันก็คือเรื่องของความจำเป็นที่จะต้องมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศปริมาณมากมายมหาศาล
นอกจากนั้นแล้ว ความปรารถนาที่จะรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้าเอาไว้ ยังกลายเป็นแรงจูงใจซึ่งทำให้รัฐบาลชาติต่างๆ ในเอเชียพากันสนับสนุนนโยบายเงินดอลลาร์แข็ง ซึ่งก็คือมุ่งหน้าซื้อหาหนี้สินของสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น
แต่ก็นั่นแหละ การที่ยอดหนี้สินภาคสาธารณะคงค้างของสหรัฐฯทะยานขึ้นไปถึง 6.6% ในระยะเวลาเพียงแค่ 23 เดือนของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ย่อมยากนักหนาที่จะก่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจขึ้นมาได้ การตั้งงบประมาณจับจ่ายใช้สอยแบบใจกว้างเป็นแม่น้ำของทรัมป์ทั้งในด้านการทหาร, ความมั่นคงบริเวณชายแดน, และในประเด็นซึ่งเป็นที่ชื่นชอบพิเศษของเขาอีกจำนวนหนึ่ง มีลักษณะคลับคล้ายกับพวกเสือแห่งเอเชียในช่วงก่อนปี 1997 มากกว่าจะเป็น 1 ในชาติกลุ่ม จี7
เช่นเดียวกับการที่เขาพูดจาหยอกเย้าหน้าเป็นเกี่ยวกับภาระหนี้สินจำนวนรวม 22 ล้านล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สื่อ เดลี่บีสต์ (Daily Beast) รายงานข่าวการพูดจากันอันชวนให้ตื่นตะลึงระหว่างทรัมป์กับพวกที่ปรึกษาของเขา โดยที่เมื่อพวกสมาชิกระดับวงในของเขาหยิบยกแสดงความเป็นห่วงเรื่องที่สหรัฐฯกำลังนำตัวเองเข้าไปอยู่ในวิกฤตแห่งหนี้สิน ทรัมป์ก็ยักไหล่และตอบว่า “มันก็ใช่ล่ะนะ แต่ผมจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วนี่” เมื่อมันระเบิดตูมตามขึ้นมา (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thedailybeast.com/trump-on-coming-debt-crisis-i-wont-be-here-when-it-blows-up)[1]
ท่าทีกำกวมคลุมเครือเช่นนี้ควรที่จะสร้างความกังวลให้แก่พวกรัฐบาลชาติเอเชียซึ่งกำลังถือครองหนี้สินที่ทำให้สหรัฐฯสามารถใช้จ่ายเกินตัวได้ นอกจากนั้นแล้วยังเป็นสิ่งสมควรที่จะหมายเอาไว้ด้วยว่า ระหว่างการตระเวนหาเสียงเพื่อเป็นประธานาธิบดีนั้น ทรัมป์กระทั่งเคยเสนอแนะอย่างไม่ได้รู้สึกอับอายอะไรในประเด็นปัญหาเรื่องการชักดาบเบี้ยวหนี้
เมื่อถูก ซีเอ็นบีซี สถานีโทรทัศน์ช่องการเงินการลงทุนไต่ถามในเดือนพฤษภาคมปี 2016 ว่า เขาจะเหนี่ยวรั้งภาระหนี้สินที่กำลังพุ่งพรวดพราดขึ้นไปเรื่อยๆ ของวอชิงตันอย่างไร ทรัมป์ก็ตอบว่า “ผมจะกู้ไปเรื่อยๆ โดยรู้ดีว่าถ้าหากเศรษฐกิจเกิดพังครืนลงมา คุณก็สามารถที่จะเจรจาต่อรองทำข้อตกลงได้”
นี่แหละคือความคิดเห็น จากบุรุษผู้ซึ่งในช่วงก่อนขึ้นเป็นประธานาธิบดี ก็ได้ใช้ชีวิตด้วยการกู้ยืมเงินเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้าน แล้วก็ประกาศขอล้มละลาย และหลังจากเจรจาต่อรองทำข้อตกลงประนอมหนี้แล้วก็เดินหน้ากันต่อไป แน่นอนทีเดียวว่า ความเสี่ยงที่พวกแบงก์ชาติในเอเชียทั้งหลายต้องคำนึงก็คือ ทรัมป์มองพวกเขาด้วยทัศนะทำนองเดียวกับที่เขาเคยใช้มองเจ้าหนี้ของเขาเองมาก่อน
เรื่องนี้บ่งบอกให้เห็นว่าทรัมป์พร้อมจะจับจ่ายใช้สอยและสะสมหนี้สินพอกพูนขึ้นโดยไม่ใส่ใจแล้วจากนั้นก็ก้าวเดินผละจากไป โดยปล่อยให้พวกทายาทคนรุ่นต่อๆ ไปเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับความยุ่งเหยิงซึ่งเกิดขึ้น แน่นอนล่ะพวกทายาทคนรุ่นต่อๆ ไปที่ว่านี้ย่อมครอบคลุมถึงบรรดาเจ้าหนี้ของอเมริกาด้วย
การใช้มาตรการเสี่ยงๆ มีผลกระทบทั้งด้านตรงและด้านกลับ
การใช้มาตรการแบบเสี่ยงๆ นั้น ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านตรงและด้านกลับ ขณะที่ทรัมป์เพิ่มความดุเดือดเข้มข้นในการทำสงครามการค้าของเขาอยู่นั้น สีก็อาจบลั้ฟกลับโดยใช้เงินดอลลาร์ที่แดนมังกรถือครองเอาไว้จำนวนมหาศาลมาเป็นเครื่องมือต่อรอง
อันที่จริงแล้ว มีรายงานว่า เมื่อปี 2011 รัฐบาลของ หู จิ่นเทา ประธานาธิบดีคนก่อนของจีนกำลังพิจารณาที่จะหยิบอาวุธนี้ออกมาใช้อยู่แล้ว โดยที่ในเวลานั้น เหรินหมินรึเป้า (People’s Daily) ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ออกบทบรรณาธิการชิ้นหนึ่งเสนอแนะว่า “ขณะนี้ถึงเวลาสำหรับจีนแล้วที่จะใช้อาวุธทางการเงินของตนมาสั่งสอนให้บทเรียนแก่สหรัฐฯ” (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://en.people.cn/90780/91342/7562776.html)
เมื่อปี 2011 ปักกิ่งมีความโกรธเกรี้ยวการที่วอชิงตันเข้าพิทักษ์ปกป้องไต้หวัน ส่วนในทุกวันนี้ปักกิ่งอาจจะยัวะจัดเรื่องภาษีศุลกากร อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องแน่นอนทีเดียวว่าถ้าเมื่อใดปักกิ่งตัดสินใจเทขายดอลลาร์ซึ่งถือครองไว้ มันก็จะก่อให้เกิดผลด้านกลับขึ้นมาด้วย ไม่ได้มีเพียงผลด้านตรงเท่านั้น
นอกเหนือจากต้องประสบการขาดทุนอย่างมหาศาลจากมูลค่าของดอลลาร์ซึ่งจะลดฮวบลงมาเมื่อถูกเทแล้ว สิ่งที่จะต้องเกิดตามมาอย่างอื่นๆ โดยเฉพาะการที่อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯต้องขยับขึ้นพรวดพราด ย่อมจะกระหน่ำใส่การบริโภคของคนอเมริกัน แล้วส่งผลต่อเนื่องกลายเป็นการทำลายเครื่องจักรการส่งออกอันเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งของฝ่ายจีน
อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลของสีย่อมมีเหตุผลทุกๆ ประการที่จะรู้สึกกังวลใจจากการที่ถือครองตราสารหนี้อเมริกันเอาไว้มากมาย ทำให้ดูเหมือนกับต้องตกเป็นเหยื่ออารมณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้ของทรัมป์ ประเด็นนี้ก็เช่นกัน ในอดีตปักกิ่งได้เคยแสดงความวิตกเกี่ยวกับมูลค่าของพันธบัตรคลังสหรัฐฯมาแล้ว
ในปี 2009 เวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีของจีนขณะนั้น ออกมาเรียกร้องวอชิงตันให้ปกป้องคุ้มครองเงินของปักกิ่ง “เราได้ปล่อยเงินกู้ให้สหรัฐฯเป็นจำนวนมหึมา (ด้วยการเข้าซื้อตราสารหนี้ของกระทรวงการคลังอเมริกัน)” เวินบอก “แน่นอนทีเดียว เราต้องมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับความปลอดภัยของสินทรัพย์ของเรา พูดกันตรงไปตรงมาเลยนะ ผมน่ะมีความวิตกกังวลอยู่นิดหน่อยแหละ” (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.theguardian.com/world/2009/mar/13/china-us-economy)
เวินเรียกร้องให้สหรัฐฯ “รักษาคำพูดของตนเอง, วางตนอยู่ในฐานะชาติซึ่งมีเครดิตน่าเชื่อถือ, และรับประกันว่าสินทรัพย์ซึ่งจีนถือครองอยู่จะมีความปลอดภัย”
แต่พูดก็พูดเถอะ ความเสี่ยงที่สหรัฐฯจะชักดาบเบี้ยวหนี้นั้น ยังถือได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันจินตนาการ ไม่ว่าทรัมป์จะได้เคยพูดอะไรเอาไว้ในอดีตที่ผ่านมา
สภาวการณ์ในเวลานี้ก็คือ ทำเนียบขาวของเขาต้องการได้เงินทองของเอเชียไหลเข้ามา ขณะที่เอเชียก็ต้องการให้สหรัฐฯเป็นบริกรผู้คอยดูแลเงินออมเป็นหลักล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขาอย่างรับผิดชอบ ทั้งสองข้างของความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันและกันนี้ต่างไม่ควรที่จะถืออีกฝ่ายหนึ่งเป็น “ของตาย” ที่จะทิ้งขว้างละเลยอย่างไรก็ได้
ยิ่งฝ่ายทำเนียบขาวด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรคิดทึกทักเลยว่า เอเชียจะยังคงออกเงินกู้มาคอยสนับสนุนการจับจ่ายใช้สอยเกินตัวของตนเรื่อยๆ ไป
หมายเหตุผู้แปล
[1] ในรายงานข่าวชิ้นนี้ของเดลี่บีสต์ ระบุว่า
นับตั้งแต่ช่วงออกรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 แล้ว ทั้งพวกผู้ช่วยและพวกที่ปรึกษาของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้พยายามโน้มน้าวให้เขายอมรับถึงความสำคัญของการแก้ไขจัดการกับภาระหนี้สินของประเทศชาติ
แต่แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีผู้นี้หลายรายเล่าว่า เขาเพิกเฉยไม่ให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยแสดงท่าทีว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับเงินทองซึ่งติดหนี้พวกเจ้าหนี้ของอเมริกาเหล่านี้ (ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับประมาณ 21 ล้านล้านดอลลาร์) เพราะเขาจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เพื่อแบกรับเสียงประณามตำหนิแล้ว เมื่อตอนที่ปัญหานี้กลายเป็นสิ่งที่ต้านทานไม่ไหวยิ่งขึ้นไปกว่านี้
ความขัดแย้งในเรื่องนี้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนในช่วงต้นปี 2017 เมื่อพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสนำเสนอทั้งชาร์ตและกราฟฟิกที่บรรจุตัวเลขต่างๆ และแสดงให้เห็นว่าภาระหนี้สินของประเทศกำลังอยู่ในรูปพุ่งขึ้นไป “แบบไม้ฮอกกี้” ในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้นัก ปรากฏว่าทรัมป์โต้ตอบด้วยการชี้ว่า ข้อมูลเหล่านี้บ่งบอกว่าหนี้สินนี้จะไปถึงจุดวิกฤตก็ภายหลังจากวาระที่สองในการดำรงตำแหน่งของเขา (หากเขาชนะเลือกตั้งอีกสมัย) สิ้นสุดลงแล้ว
“มันก็ใช่ล่ะนะ แต่ผมจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วนี่” ประธานาธิบดีผู้นี้พูดโพล่งออกมา ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในห้องด้วยเมื่อตอนที่ทรัมป์พูดออกความเห็นเช่นนี้ระหว่างการถกเถียงหารือปัญหาหนี้สินของประเทศ
ฉากเหตุการณ์คราวนั้นวาดภาพให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีความกำกวมคลุมเครือขนาดไหนในเรื่องการมุ่งแก้ไขจัดการกับปัญหาซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยกระตุ้นให้พรรครีพับลิกันอยู่เฉยไม่ได้ ตั้งแต่ยุคของโรนัลด์ เรแกน ไปจนถึงช่วงการเป็นประธานาธิบดีของบารัค โอบามา
อย่างไรก็ดี รายงานของเดลี่บีสต์อ้างคำพูดของ มาร์ค ชอร์ต (Marc Short) ซึ่งทำงานเป็นผู้อำนวยการด้านกิจการนิติบัญญัติให้ทรัมป์ จนกระทั่งออกจากตำแหน่งเมื่อเร็วๆ นี้ ที่บอกว่า อันที่จริงทรัมป์ก็ยอมรับเรื่อง “ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นเรื่องหนี้สิน” อยู่เหมือนกัน ดังเห็นได้จากการที่ทรัมป์กังวลใจ “เกี่ยวกับการที่อัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มสูงขึ้น”
เดลี่บีสต์ยังอ้างคำบอกเล่าของพวกคนที่ใกล้ชิดกับทรัมป์ที่กล่าวว่า เหตุผลประการหนึ่งที่ทรัมป์ไม่เคยถูกกระตุ้นให้รู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรกันมั่ง ในเรื่องการลดภาระหนี้สินเลยก็คือ เขาเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้สามารถแก้ไขได้โดยผ่านเครื่องมืออื่นๆ นอกเหนือจากการขึ้นภาษีสูงลิ่ว หรือการลดการใช้จ่ายลงอย่างฮวบฮาบ
สตีเฟน มัวร์ นักเศรษฐศาสตร์หัวอนุรักษนิยมแห่ง เฮอริเทจ ฟาวเดชั่น และก็เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจผู้หนึ่งในทีมรณรงค์หาเสียงเมื่อปี 2016 ของทรัมป์ เล่าความหลังว่าได้เคยนำเสนอภาพเกี่ยวกับความหนักหน่วงของปัญหาหนี้สินแก่ทรัมป์ในช่วงกลางปี 2016 แต่ตัวเขาก็ยืนยันกับทรัมป์ว่า เรื่องนี้สามารถจัดการได้ด้วยการมุ่งโฟกัสไปที่การเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจ
“นั่นคือเหตุผลที่ทำไม เมื่อเขาเผชิญหน้ากับฉากทัศน์ภาพสมมุติสถานการณ์เกี่ยวกับหนี้สินที่เป็นเสมือนฝันร้ายเหล่านี้ ผมคิดว่าเขาจะปฏิเสธไม่ยอมรับมัน เพราะถ้าหากคุณยังทำให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้ ... คุณก็จะไม่มีปัญหาหนี้สิน” มัวร์ยังบอกต่อไปว่า “ผมทราบอยู่สองสามครั้งที่เมื่อมีคนจะหยิบยกปัญหาหนี้สินมหาศาลขึ้นมา เขา(ทรัมป์)ก็จะพูดว่า ‘เราจะเติบโตขยายตัวจากวิธีการของเราจนพ้นจากปัญหานี้ได้’”
เดลี่บิสต์บอกว่า ตัวมัวร์เองนับแต่งนั้นก็ป่าวร้องเชิดชูว่าวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้สินนี้แหละ คือส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของ “ทรัมโปโนมิกส์” (Trumponomics) รวมทั้งได้ร่วมเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเพื่อสนับสนุนแนวทางนี้ด้วย (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.google.com/amp/s/www.washingtonexaminer.com/news/trump-goes-on-book-endorsing-twitter-tear-ahead-of-christmas%3f_amp=true)
รายงานชิ้นนี้กล่าวว่า ความเชื่อที่ว่าหากเศรษฐกิจเติบโตอย่างหนักแน่นมั่นคงจะสามารถแก้ปัญหาทุกๆ อย่าง ได้กลายเป็นเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้แก่ข้อเสนออันแสนทะเยอทะยานของทรัมป์ทั้งในเรื่องการตัดลดภาษี, การเดินหน้าโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ๆ, และการหลีกเลี่ยงไม่ตัดลดแรงๆ ในเรื่องสวัสดิการสังคมและโครงการเมดิแคร์
เจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะบริหารทรัมป์ในปัจจุบันคนหนึ่งได้เคยพูดระบายอารมณ์ว่า ทรัมป์ “ไม่ได้เป็นห่วงใยอะไรจริงจัง” เกี่ยวกับการแก้ไข “วิกฤต” หนี้สินอย่างแท้จริงเลย และนิยมมากกว่าที่จะพูดแต่เรื่อง “การสร้างงานและการเติบโต ไม่ว่ามันจะหมายถึงอะไรก็ตามที”
เดลี่บีสต์ชี้ว่า พรรครีพับลิกันนั้นเดิมตามสิ่งที่ทรัมป์เชื่อนี้เป็นส่วนใหญ่ โดยในช่วง 2 ปีแรกแห่งวาระการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ ชาวรีพับลิกันในรัฐสภาได้ยินยอมโหวตลดภาษีลงอย่างมหาศาล ขณะที่เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมและการใช้จ่ายด้านอื่นๆ
แต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาไม่ได้เป็นอย่างที่ทรัมป์และมัวร์ให้สัญญาไว้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นในตอนนี้ จริงอยู่ การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา รวมทั้งสูงถึง 4.1% ในไตรมาส 2 ของปี 2018 ด้วย ทว่าการขาดดุลงบประมาณแผ่นดินก็เพิ่มขึ้นบานเบิกเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเนื่องจากรัฐบาลมีรายรับลดน้อยลงจากการลดภาษี ขณะที่การคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯในอนาคตก็ดูไม่ค่อยสดใส
บรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารการเงินในปักกิ่ง, โตเกียว, และที่อื่นๆ ในเอเชีย กำลังเจอปัญหาปวดเศียรเวียนเกล้าขนาดมหึมาเท่าประเทศบราซิลทีเดียว ขณะที่ปี 2019 กำลังขยับใกล้เข้ามา รัฐบาลของประเทศพวกเขาจวบจนถึงบัดนี้คือผู้ที่ถือครองตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯรายใหญ่ที่สุด โดยที่ยอดหนี้สินดังกล่าวขยับเพิ่มขึ้นไปเกือบๆ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้วในยุคแห่งการเป็นประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์
คลื่นใหญ่ยักษ์หนี้สินสีแดงเถือกลูกนี้มีขนาดคร่าวๆ เท่ากับผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รายปีของบราซิลทีเดียว และเรื่องนี้ควรที่จะทำให้พวกนายแบงก์เจ้าหนี้ชาวเอเชียของทรัมป์รู้สึกกังวลใจ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.businessinsider.com/trump-debt-crisis-fine-wont-be-here-report-2018-12)
แผนกโลบายหมุนเงินแบบหากู้หนี้ใหม่มาชดใช้หนี้เก่า มีน้อยนักหนาที่จะก่อเกิดผลดีให้แก่พวกลูกค้าซึ่งนำเงินมา “ลงทุน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เข้ามาร่วมวงในช่วงหลังๆ กระนั้นรัฐบาลของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในกรุงปักกิ่ง และรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ในกรุงโตเกียว ก็ยังคงประสบกับสถานการณ์อันอิหลักอิเหลื่อ เมื่อต้องตัดสินใจเลือกว่าจะยังคงนำเอาเงินงบประมาณของรัฐเติมเข้าไปในแผนกโลบายเงินต่อเงินของวอชิงตันนี้ต่อไป หรือว่าจะตัดใจยุติยอมตัดขาดทุน
จริงๆ แล้วการขาดทุนดูจะหลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับจีนซึ่งซื้อหาพันธบัตรคลังสหรัฐฯเอาไว้เป็นมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และสำหรับญี่ปุ่นที่ครอบครองอยู่ 1.03 ล้านดอลลาร์
แล้วยังพวกเจ้าหนี้รายอื่นๆ ทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งซื้อตราสารเงินกู้ภาครัฐของอเมริกันเอาไว้ ก็มีหวังจะเจอกับชะตากรรมทำนองเดียวกัน ทั้งนี้ มีตัวเลขรายละเอียดว่า ฮ่องกงครอบครองอยู่ 192,000 ล้านดอลลาร์, ไต้หวัน 164,000 ล้านดอลลาร์, อินเดีย 144,000 ล้านดอลลาร์, สิงคโปร์ 135,000 ล้านดอลลาร์, เกาหลีใต้ 110,000 ล้านดอลลาร์, และประเทศไทย 66,000 ล้านดอลลาร์
อเมริกามาเป็นอันดับแรก พวกเจ้าหนี้ชาติเอเชียอยู่ในอันดับท้าย
หากเป็นการวางเดินพันต่อรองกันแล้ว แต้มต่อตอนนี้ก็อยู่ทางข้างที่ว่าเงินทองรวมกันมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งพวกชาติเอเชียปล่อยกู้ให้แก่แผนไม่ชอบมาพากลทางการคลังของทรัมป์นั้นมีหวังจะไม่ได้จบลงด้วยดี กระทั่งมาตรการตัดลดภาษีมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งพรรครีพับลิกันของเขาผลักดันออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้เมื่อช่วงปลายปี 2017 ก็ยังวางอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าพวกเจ้าหน้าที่เอเชียยินดีที่จะพากันซื้อหาพันธบัตรคลังสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://seekingalpha.com/news/3416548-u-s-national-debt-rising-fastest-pace-since-2012-bloomberg)
อย่างไรก็ตาม มองกันในบางแง่บางมุม การซื้อตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯก็ถือว่าเป็นการวางเดิมพันเล่นพนันที่สมเหตุสมผล ทั้งนี้ถ้าหากเอเชียได้เรียนรู้บทเรียนอะไรขึ้นมาจากการเผชิญวิกฤตการณ์ทั้งในช่วงปี 1997 (ที่ในไทยนิยมเรียกกันว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง -ผู้แปล) และในช่วงปี 2008 (ที่ในไทยนิยมเรียกกันว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ –ผู้แปล) แล้ว มันก็คือเรื่องของความจำเป็นที่จะต้องมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศปริมาณมากมายมหาศาล
นอกจากนั้นแล้ว ความปรารถนาที่จะรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้าเอาไว้ ยังกลายเป็นแรงจูงใจซึ่งทำให้รัฐบาลชาติต่างๆ ในเอเชียพากันสนับสนุนนโยบายเงินดอลลาร์แข็ง ซึ่งก็คือมุ่งหน้าซื้อหาหนี้สินของสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น
แต่ก็นั่นแหละ การที่ยอดหนี้สินภาคสาธารณะคงค้างของสหรัฐฯทะยานขึ้นไปถึง 6.6% ในระยะเวลาเพียงแค่ 23 เดือนของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ย่อมยากนักหนาที่จะก่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจขึ้นมาได้ การตั้งงบประมาณจับจ่ายใช้สอยแบบใจกว้างเป็นแม่น้ำของทรัมป์ทั้งในด้านการทหาร, ความมั่นคงบริเวณชายแดน, และในประเด็นซึ่งเป็นที่ชื่นชอบพิเศษของเขาอีกจำนวนหนึ่ง มีลักษณะคลับคล้ายกับพวกเสือแห่งเอเชียในช่วงก่อนปี 1997 มากกว่าจะเป็น 1 ในชาติกลุ่ม จี7
เช่นเดียวกับการที่เขาพูดจาหยอกเย้าหน้าเป็นเกี่ยวกับภาระหนี้สินจำนวนรวม 22 ล้านล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สื่อ เดลี่บีสต์ (Daily Beast) รายงานข่าวการพูดจากันอันชวนให้ตื่นตะลึงระหว่างทรัมป์กับพวกที่ปรึกษาของเขา โดยที่เมื่อพวกสมาชิกระดับวงในของเขาหยิบยกแสดงความเป็นห่วงเรื่องที่สหรัฐฯกำลังนำตัวเองเข้าไปอยู่ในวิกฤตแห่งหนี้สิน ทรัมป์ก็ยักไหล่และตอบว่า “มันก็ใช่ล่ะนะ แต่ผมจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วนี่” เมื่อมันระเบิดตูมตามขึ้นมา (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thedailybeast.com/trump-on-coming-debt-crisis-i-wont-be-here-when-it-blows-up)[1]
ท่าทีกำกวมคลุมเครือเช่นนี้ควรที่จะสร้างความกังวลให้แก่พวกรัฐบาลชาติเอเชียซึ่งกำลังถือครองหนี้สินที่ทำให้สหรัฐฯสามารถใช้จ่ายเกินตัวได้ นอกจากนั้นแล้วยังเป็นสิ่งสมควรที่จะหมายเอาไว้ด้วยว่า ระหว่างการตระเวนหาเสียงเพื่อเป็นประธานาธิบดีนั้น ทรัมป์กระทั่งเคยเสนอแนะอย่างไม่ได้รู้สึกอับอายอะไรในประเด็นปัญหาเรื่องการชักดาบเบี้ยวหนี้
เมื่อถูก ซีเอ็นบีซี สถานีโทรทัศน์ช่องการเงินการลงทุนไต่ถามในเดือนพฤษภาคมปี 2016 ว่า เขาจะเหนี่ยวรั้งภาระหนี้สินที่กำลังพุ่งพรวดพราดขึ้นไปเรื่อยๆ ของวอชิงตันอย่างไร ทรัมป์ก็ตอบว่า “ผมจะกู้ไปเรื่อยๆ โดยรู้ดีว่าถ้าหากเศรษฐกิจเกิดพังครืนลงมา คุณก็สามารถที่จะเจรจาต่อรองทำข้อตกลงได้”
นี่แหละคือความคิดเห็น จากบุรุษผู้ซึ่งในช่วงก่อนขึ้นเป็นประธานาธิบดี ก็ได้ใช้ชีวิตด้วยการกู้ยืมเงินเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้าน แล้วก็ประกาศขอล้มละลาย และหลังจากเจรจาต่อรองทำข้อตกลงประนอมหนี้แล้วก็เดินหน้ากันต่อไป แน่นอนทีเดียวว่า ความเสี่ยงที่พวกแบงก์ชาติในเอเชียทั้งหลายต้องคำนึงก็คือ ทรัมป์มองพวกเขาด้วยทัศนะทำนองเดียวกับที่เขาเคยใช้มองเจ้าหนี้ของเขาเองมาก่อน
เรื่องนี้บ่งบอกให้เห็นว่าทรัมป์พร้อมจะจับจ่ายใช้สอยและสะสมหนี้สินพอกพูนขึ้นโดยไม่ใส่ใจแล้วจากนั้นก็ก้าวเดินผละจากไป โดยปล่อยให้พวกทายาทคนรุ่นต่อๆ ไปเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับความยุ่งเหยิงซึ่งเกิดขึ้น แน่นอนล่ะพวกทายาทคนรุ่นต่อๆ ไปที่ว่านี้ย่อมครอบคลุมถึงบรรดาเจ้าหนี้ของอเมริกาด้วย
การใช้มาตรการเสี่ยงๆ มีผลกระทบทั้งด้านตรงและด้านกลับ
การใช้มาตรการแบบเสี่ยงๆ นั้น ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านตรงและด้านกลับ ขณะที่ทรัมป์เพิ่มความดุเดือดเข้มข้นในการทำสงครามการค้าของเขาอยู่นั้น สีก็อาจบลั้ฟกลับโดยใช้เงินดอลลาร์ที่แดนมังกรถือครองเอาไว้จำนวนมหาศาลมาเป็นเครื่องมือต่อรอง
อันที่จริงแล้ว มีรายงานว่า เมื่อปี 2011 รัฐบาลของ หู จิ่นเทา ประธานาธิบดีคนก่อนของจีนกำลังพิจารณาที่จะหยิบอาวุธนี้ออกมาใช้อยู่แล้ว โดยที่ในเวลานั้น เหรินหมินรึเป้า (People’s Daily) ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ออกบทบรรณาธิการชิ้นหนึ่งเสนอแนะว่า “ขณะนี้ถึงเวลาสำหรับจีนแล้วที่จะใช้อาวุธทางการเงินของตนมาสั่งสอนให้บทเรียนแก่สหรัฐฯ” (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://en.people.cn/90780/91342/7562776.html)
เมื่อปี 2011 ปักกิ่งมีความโกรธเกรี้ยวการที่วอชิงตันเข้าพิทักษ์ปกป้องไต้หวัน ส่วนในทุกวันนี้ปักกิ่งอาจจะยัวะจัดเรื่องภาษีศุลกากร อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องแน่นอนทีเดียวว่าถ้าเมื่อใดปักกิ่งตัดสินใจเทขายดอลลาร์ซึ่งถือครองไว้ มันก็จะก่อให้เกิดผลด้านกลับขึ้นมาด้วย ไม่ได้มีเพียงผลด้านตรงเท่านั้น
นอกเหนือจากต้องประสบการขาดทุนอย่างมหาศาลจากมูลค่าของดอลลาร์ซึ่งจะลดฮวบลงมาเมื่อถูกเทแล้ว สิ่งที่จะต้องเกิดตามมาอย่างอื่นๆ โดยเฉพาะการที่อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯต้องขยับขึ้นพรวดพราด ย่อมจะกระหน่ำใส่การบริโภคของคนอเมริกัน แล้วส่งผลต่อเนื่องกลายเป็นการทำลายเครื่องจักรการส่งออกอันเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งของฝ่ายจีน
อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลของสีย่อมมีเหตุผลทุกๆ ประการที่จะรู้สึกกังวลใจจากการที่ถือครองตราสารหนี้อเมริกันเอาไว้มากมาย ทำให้ดูเหมือนกับต้องตกเป็นเหยื่ออารมณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้ของทรัมป์ ประเด็นนี้ก็เช่นกัน ในอดีตปักกิ่งได้เคยแสดงความวิตกเกี่ยวกับมูลค่าของพันธบัตรคลังสหรัฐฯมาแล้ว
ในปี 2009 เวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีของจีนขณะนั้น ออกมาเรียกร้องวอชิงตันให้ปกป้องคุ้มครองเงินของปักกิ่ง “เราได้ปล่อยเงินกู้ให้สหรัฐฯเป็นจำนวนมหึมา (ด้วยการเข้าซื้อตราสารหนี้ของกระทรวงการคลังอเมริกัน)” เวินบอก “แน่นอนทีเดียว เราต้องมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับความปลอดภัยของสินทรัพย์ของเรา พูดกันตรงไปตรงมาเลยนะ ผมน่ะมีความวิตกกังวลอยู่นิดหน่อยแหละ” (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.theguardian.com/world/2009/mar/13/china-us-economy)
เวินเรียกร้องให้สหรัฐฯ “รักษาคำพูดของตนเอง, วางตนอยู่ในฐานะชาติซึ่งมีเครดิตน่าเชื่อถือ, และรับประกันว่าสินทรัพย์ซึ่งจีนถือครองอยู่จะมีความปลอดภัย”
แต่พูดก็พูดเถอะ ความเสี่ยงที่สหรัฐฯจะชักดาบเบี้ยวหนี้นั้น ยังถือได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันจินตนาการ ไม่ว่าทรัมป์จะได้เคยพูดอะไรเอาไว้ในอดีตที่ผ่านมา
สภาวการณ์ในเวลานี้ก็คือ ทำเนียบขาวของเขาต้องการได้เงินทองของเอเชียไหลเข้ามา ขณะที่เอเชียก็ต้องการให้สหรัฐฯเป็นบริกรผู้คอยดูแลเงินออมเป็นหลักล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขาอย่างรับผิดชอบ ทั้งสองข้างของความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันและกันนี้ต่างไม่ควรที่จะถืออีกฝ่ายหนึ่งเป็น “ของตาย” ที่จะทิ้งขว้างละเลยอย่างไรก็ได้
ยิ่งฝ่ายทำเนียบขาวด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรคิดทึกทักเลยว่า เอเชียจะยังคงออกเงินกู้มาคอยสนับสนุนการจับจ่ายใช้สอยเกินตัวของตนเรื่อยๆ ไป
หมายเหตุผู้แปล
[1] ในรายงานข่าวชิ้นนี้ของเดลี่บีสต์ ระบุว่า
นับตั้งแต่ช่วงออกรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 แล้ว ทั้งพวกผู้ช่วยและพวกที่ปรึกษาของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้พยายามโน้มน้าวให้เขายอมรับถึงความสำคัญของการแก้ไขจัดการกับภาระหนี้สินของประเทศชาติ
แต่แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีผู้นี้หลายรายเล่าว่า เขาเพิกเฉยไม่ให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยแสดงท่าทีว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับเงินทองซึ่งติดหนี้พวกเจ้าหนี้ของอเมริกาเหล่านี้ (ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับประมาณ 21 ล้านล้านดอลลาร์) เพราะเขาจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เพื่อแบกรับเสียงประณามตำหนิแล้ว เมื่อตอนที่ปัญหานี้กลายเป็นสิ่งที่ต้านทานไม่ไหวยิ่งขึ้นไปกว่านี้
ความขัดแย้งในเรื่องนี้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนในช่วงต้นปี 2017 เมื่อพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสนำเสนอทั้งชาร์ตและกราฟฟิกที่บรรจุตัวเลขต่างๆ และแสดงให้เห็นว่าภาระหนี้สินของประเทศกำลังอยู่ในรูปพุ่งขึ้นไป “แบบไม้ฮอกกี้” ในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้นัก ปรากฏว่าทรัมป์โต้ตอบด้วยการชี้ว่า ข้อมูลเหล่านี้บ่งบอกว่าหนี้สินนี้จะไปถึงจุดวิกฤตก็ภายหลังจากวาระที่สองในการดำรงตำแหน่งของเขา (หากเขาชนะเลือกตั้งอีกสมัย) สิ้นสุดลงแล้ว
“มันก็ใช่ล่ะนะ แต่ผมจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วนี่” ประธานาธิบดีผู้นี้พูดโพล่งออกมา ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในห้องด้วยเมื่อตอนที่ทรัมป์พูดออกความเห็นเช่นนี้ระหว่างการถกเถียงหารือปัญหาหนี้สินของประเทศ
ฉากเหตุการณ์คราวนั้นวาดภาพให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีความกำกวมคลุมเครือขนาดไหนในเรื่องการมุ่งแก้ไขจัดการกับปัญหาซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยกระตุ้นให้พรรครีพับลิกันอยู่เฉยไม่ได้ ตั้งแต่ยุคของโรนัลด์ เรแกน ไปจนถึงช่วงการเป็นประธานาธิบดีของบารัค โอบามา
อย่างไรก็ดี รายงานของเดลี่บีสต์อ้างคำพูดของ มาร์ค ชอร์ต (Marc Short) ซึ่งทำงานเป็นผู้อำนวยการด้านกิจการนิติบัญญัติให้ทรัมป์ จนกระทั่งออกจากตำแหน่งเมื่อเร็วๆ นี้ ที่บอกว่า อันที่จริงทรัมป์ก็ยอมรับเรื่อง “ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นเรื่องหนี้สิน” อยู่เหมือนกัน ดังเห็นได้จากการที่ทรัมป์กังวลใจ “เกี่ยวกับการที่อัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มสูงขึ้น”
เดลี่บีสต์ยังอ้างคำบอกเล่าของพวกคนที่ใกล้ชิดกับทรัมป์ที่กล่าวว่า เหตุผลประการหนึ่งที่ทรัมป์ไม่เคยถูกกระตุ้นให้รู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรกันมั่ง ในเรื่องการลดภาระหนี้สินเลยก็คือ เขาเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้สามารถแก้ไขได้โดยผ่านเครื่องมืออื่นๆ นอกเหนือจากการขึ้นภาษีสูงลิ่ว หรือการลดการใช้จ่ายลงอย่างฮวบฮาบ
สตีเฟน มัวร์ นักเศรษฐศาสตร์หัวอนุรักษนิยมแห่ง เฮอริเทจ ฟาวเดชั่น และก็เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจผู้หนึ่งในทีมรณรงค์หาเสียงเมื่อปี 2016 ของทรัมป์ เล่าความหลังว่าได้เคยนำเสนอภาพเกี่ยวกับความหนักหน่วงของปัญหาหนี้สินแก่ทรัมป์ในช่วงกลางปี 2016 แต่ตัวเขาก็ยืนยันกับทรัมป์ว่า เรื่องนี้สามารถจัดการได้ด้วยการมุ่งโฟกัสไปที่การเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจ
“นั่นคือเหตุผลที่ทำไม เมื่อเขาเผชิญหน้ากับฉากทัศน์ภาพสมมุติสถานการณ์เกี่ยวกับหนี้สินที่เป็นเสมือนฝันร้ายเหล่านี้ ผมคิดว่าเขาจะปฏิเสธไม่ยอมรับมัน เพราะถ้าหากคุณยังทำให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้ ... คุณก็จะไม่มีปัญหาหนี้สิน” มัวร์ยังบอกต่อไปว่า “ผมทราบอยู่สองสามครั้งที่เมื่อมีคนจะหยิบยกปัญหาหนี้สินมหาศาลขึ้นมา เขา(ทรัมป์)ก็จะพูดว่า ‘เราจะเติบโตขยายตัวจากวิธีการของเราจนพ้นจากปัญหานี้ได้’”
เดลี่บิสต์บอกว่า ตัวมัวร์เองนับแต่งนั้นก็ป่าวร้องเชิดชูว่าวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้สินนี้แหละ คือส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของ “ทรัมโปโนมิกส์” (Trumponomics) รวมทั้งได้ร่วมเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเพื่อสนับสนุนแนวทางนี้ด้วย (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.google.com/amp/s/www.washingtonexaminer.com/news/trump-goes-on-book-endorsing-twitter-tear-ahead-of-christmas%3f_amp=true)
รายงานชิ้นนี้กล่าวว่า ความเชื่อที่ว่าหากเศรษฐกิจเติบโตอย่างหนักแน่นมั่นคงจะสามารถแก้ปัญหาทุกๆ อย่าง ได้กลายเป็นเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้แก่ข้อเสนออันแสนทะเยอทะยานของทรัมป์ทั้งในเรื่องการตัดลดภาษี, การเดินหน้าโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ๆ, และการหลีกเลี่ยงไม่ตัดลดแรงๆ ในเรื่องสวัสดิการสังคมและโครงการเมดิแคร์
เจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะบริหารทรัมป์ในปัจจุบันคนหนึ่งได้เคยพูดระบายอารมณ์ว่า ทรัมป์ “ไม่ได้เป็นห่วงใยอะไรจริงจัง” เกี่ยวกับการแก้ไข “วิกฤต” หนี้สินอย่างแท้จริงเลย และนิยมมากกว่าที่จะพูดแต่เรื่อง “การสร้างงานและการเติบโต ไม่ว่ามันจะหมายถึงอะไรก็ตามที”
เดลี่บีสต์ชี้ว่า พรรครีพับลิกันนั้นเดิมตามสิ่งที่ทรัมป์เชื่อนี้เป็นส่วนใหญ่ โดยในช่วง 2 ปีแรกแห่งวาระการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ ชาวรีพับลิกันในรัฐสภาได้ยินยอมโหวตลดภาษีลงอย่างมหาศาล ขณะที่เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมและการใช้จ่ายด้านอื่นๆ
แต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาไม่ได้เป็นอย่างที่ทรัมป์และมัวร์ให้สัญญาไว้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นในตอนนี้ จริงอยู่ การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา รวมทั้งสูงถึง 4.1% ในไตรมาส 2 ของปี 2018 ด้วย ทว่าการขาดดุลงบประมาณแผ่นดินก็เพิ่มขึ้นบานเบิกเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเนื่องจากรัฐบาลมีรายรับลดน้อยลงจากการลดภาษี ขณะที่การคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯในอนาคตก็ดูไม่ค่อยสดใส
<<
<
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
>
>>
Reply
Vote
Popular Thread
4 online users
Logged In :
Logged In :
member
Since 2015-12-08 01:43:55
(5773 post)