<<
<
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
>
>>
Reply
Vote
# Sat 2 Mar 2019 : 4:11AM
ลือ!!อเมริกาจะถอนทหารทั้งหมดจากอัฟกันใน5ปี ปล่อยให้รบ.แบ่งอำนาจกับตอลิบาน
เอเอฟพี - กองกำลังสหรัฐฯทั้งหมดอาจออกจากอัฟกานิสถานภายใน 5 ปี ภายใต้แผนของเพนตากอนที่ยื่นข้อเสนอเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงกับตอลิบาน เพื่อยุติสงครามที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 18 ปี ตามรายงานของนิวยอร์กไทม์ส
คณะผู้เจรจาเชื่อว่าการพูดคุยกำลังมีความคืบหน้ามากขึ้น หลังการเจรจาระดับสูงเมื่อเดือนที่แล้ว จบลงด้วย "ร่างกรอบการทำงาน" ในความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะถอนทหารและข้อตกลงที่จะป้องกันอัฟกานิสถานจากการเป็นแหล่งกบดานของพวกก่อการร้ายต่างๆ
นอกจากนี้แล้วสหรัฐฯยังผลักดันเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อตกลงหยุดยิงและเปิดการเจรจาระหว่างตอลิบานกับรัฐบาลอัฟกานิสถานโดยตรง ข้อเรียกร้องที่ถูกพวกก่อความไม่สงบปฏิเสธซ้ำๆ
รายงานของนิวยอร์กไทม์สฉบับเมื่อวันพฤหัสบดี(28ก.พ.) ระบุว่า "ทหารอเมริกาทั้งหมดอาจถูกถอนออกจากอัฟกานิสถานภายใน 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนใหม่ของเพนตากอนที่เสนอต่อการเจรจาสันติภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่การมีรัฐบาลในคาบูลที่แบ่งปันอำนาจกับตอลิบาน"
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ระบุต่อว่าเจ้าหน้าที่อเมริกาและยุโรปหลายคนทั้งในอดีตและปัจจุบัน อธิบายแง่มุมต่างๆของแผนดังกล่าว โดยในนั้นรวมถึงความเป็นไปได้ที่อาจได้เห็นสหรัฐฯปรับลดกำลังพลลงครึ่งหนึ่งในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าและปฏิบัติการส่วนใหญ่ของอเมริกาจะถูกปรับเปลี่ยนเข้าสู่การโจมตีตอบโต้ก่อการร้าย
ปัจจุบันมีทหารสหรัฐฯราว 14,000 นายที่ประจำการอยู่ในประเทศแห่งนี้ โดยมีหน้าที่ช่วยฝึกฝนและสนับสนุนทางอากาศแก่กองกำลังอัฟกานิสถาน เช่นเดียวกับควบคุมดูแลปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้ายต่างๆ
นอกจากนี้แล้วยังมีทหารจากยุโรปและนานาชาติอีกหลายพันนายที่เข้าช่วยในภารกิจฝึกฝนแก่กองกำลังอัฟกานิสถาน
อย่างไรก็ตาม ตอลิบาน ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของนิวยอร์กไทม์สในทันที โดยบอกว่าพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่ามีการยื่นข้อเสนอแบบนั้นระหว่างความพยายามผลักดันทางการทูตที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือน
การเผยแพร่รายงานข่าวของนิวยอร์กไทม์สมีขึ้นในขณะที่ สหรัฐฯและตอลิบานระงับการเจรจาสันติภาพในโดฮาเป็นการชั่วคราว ด้วยคณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายมีกำหนดกลับมาหารือกันอีกรอบในช่วงสุดสัปดาห์
"ไม่มีการพูดคุยในที่ประชุมในเรื่องเกี่ยวกับรัฐบาลชั่วคราวและการเลือกตั้ง และสหรัฐฯก็ไม่ได้เสนออะไรในเรื่องเกี่ยวกับการอยู่ในอัฟกานิสถานต่อไปอีก 4 ถึง 5 ปี" ตอลิบานระบุในถ้อยแถลง
"การพูดคุยในตอนนี้ครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวเกี่ยวกับการถอนทหารต่างชาติและลักษณะของการถอนกำลัง เช่นเดียวกับลักษณะของการรับประกันอนาคตของอัฟกานิสถาน" ถ้อยแถลงของตอลิบานระบุ
ทั้งนี้รัฐบาลอัฟกานิสถานและกลุ่มประชาสังคมต่างๆ แสดงความกังวลต่อการถอนตัวอย่างฉับพลันของสหรัฐฯว่าอาจจุดชนวนสงครามกลางเมืองนองเลือดหรือการหวนคืนสู่ระบอบการปกครองของตอลิบานหัวเข็ง
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
เอเอฟพี - กองกำลังสหรัฐฯทั้งหมดอาจออกจากอัฟกานิสถานภายใน 5 ปี ภายใต้แผนของเพนตากอนที่ยื่นข้อเสนอเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงกับตอลิบาน เพื่อยุติสงครามที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 18 ปี ตามรายงานของนิวยอร์กไทม์ส
คณะผู้เจรจาเชื่อว่าการพูดคุยกำลังมีความคืบหน้ามากขึ้น หลังการเจรจาระดับสูงเมื่อเดือนที่แล้ว จบลงด้วย "ร่างกรอบการทำงาน" ในความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะถอนทหารและข้อตกลงที่จะป้องกันอัฟกานิสถานจากการเป็นแหล่งกบดานของพวกก่อการร้ายต่างๆ
นอกจากนี้แล้วสหรัฐฯยังผลักดันเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อตกลงหยุดยิงและเปิดการเจรจาระหว่างตอลิบานกับรัฐบาลอัฟกานิสถานโดยตรง ข้อเรียกร้องที่ถูกพวกก่อความไม่สงบปฏิเสธซ้ำๆ
รายงานของนิวยอร์กไทม์สฉบับเมื่อวันพฤหัสบดี(28ก.พ.) ระบุว่า "ทหารอเมริกาทั้งหมดอาจถูกถอนออกจากอัฟกานิสถานภายใน 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนใหม่ของเพนตากอนที่เสนอต่อการเจรจาสันติภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่การมีรัฐบาลในคาบูลที่แบ่งปันอำนาจกับตอลิบาน"
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ระบุต่อว่าเจ้าหน้าที่อเมริกาและยุโรปหลายคนทั้งในอดีตและปัจจุบัน อธิบายแง่มุมต่างๆของแผนดังกล่าว โดยในนั้นรวมถึงความเป็นไปได้ที่อาจได้เห็นสหรัฐฯปรับลดกำลังพลลงครึ่งหนึ่งในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าและปฏิบัติการส่วนใหญ่ของอเมริกาจะถูกปรับเปลี่ยนเข้าสู่การโจมตีตอบโต้ก่อการร้าย
ปัจจุบันมีทหารสหรัฐฯราว 14,000 นายที่ประจำการอยู่ในประเทศแห่งนี้ โดยมีหน้าที่ช่วยฝึกฝนและสนับสนุนทางอากาศแก่กองกำลังอัฟกานิสถาน เช่นเดียวกับควบคุมดูแลปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้ายต่างๆ
นอกจากนี้แล้วยังมีทหารจากยุโรปและนานาชาติอีกหลายพันนายที่เข้าช่วยในภารกิจฝึกฝนแก่กองกำลังอัฟกานิสถาน
อย่างไรก็ตาม ตอลิบาน ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของนิวยอร์กไทม์สในทันที โดยบอกว่าพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่ามีการยื่นข้อเสนอแบบนั้นระหว่างความพยายามผลักดันทางการทูตที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือน
การเผยแพร่รายงานข่าวของนิวยอร์กไทม์สมีขึ้นในขณะที่ สหรัฐฯและตอลิบานระงับการเจรจาสันติภาพในโดฮาเป็นการชั่วคราว ด้วยคณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายมีกำหนดกลับมาหารือกันอีกรอบในช่วงสุดสัปดาห์
"ไม่มีการพูดคุยในที่ประชุมในเรื่องเกี่ยวกับรัฐบาลชั่วคราวและการเลือกตั้ง และสหรัฐฯก็ไม่ได้เสนออะไรในเรื่องเกี่ยวกับการอยู่ในอัฟกานิสถานต่อไปอีก 4 ถึง 5 ปี" ตอลิบานระบุในถ้อยแถลง
"การพูดคุยในตอนนี้ครุ่นคิดเพียงอย่างเดียวเกี่ยวกับการถอนทหารต่างชาติและลักษณะของการถอนกำลัง เช่นเดียวกับลักษณะของการรับประกันอนาคตของอัฟกานิสถาน" ถ้อยแถลงของตอลิบานระบุ
ทั้งนี้รัฐบาลอัฟกานิสถานและกลุ่มประชาสังคมต่างๆ แสดงความกังวลต่อการถอนตัวอย่างฉับพลันของสหรัฐฯว่าอาจจุดชนวนสงครามกลางเมืองนองเลือดหรือการหวนคืนสู่ระบอบการปกครองของตอลิบานหัวเข็ง
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
# Tue 5 Mar 2019 : 8:25PM
ทัพซีเรียเข้าโจมตี “ไอเอส” ในทะเลทรายตอนกลางของประเทศ
รอยเตอร์ – กองทัพซีเรียเพิ่มการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) และปะทะกับนักรบญิฮาดในตอนกลางของซีเรีย หนังสือพิมพ์โปรดามัสกัส อัลวาตาน รายงานในวันนี้ (5)
การเข้าปะทะวานนี้ (4) ในพื้นที่อัลซุคนาระหว่างเมืองพัลไมราและเดอีร์อัสซอร์มุ่งเป้าที่มั่นซึ่งกลุ่มไอเอสยังคงเหลืออยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ในขณะที่กลุ่มนักรบที่สหรัฐฯหนุนหลังเตรียมเข้ายึดพื้นที่สุดท้ายของไอเอสทางตะวันออกของแม่น้ำ
กองทัพอากาศของซีเรียเพิ่มการโจมตีทางอากาศมุ่งเป้าขบวนการดาเอชในฝั่งตะวันออกของเมืองบาดิยา โดยเฉพาะบริเวณหนึ่งในถนนแห้งแล้งที่มุ่งสู่เมืองอัลซุคนาและฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองนี้ อัลวาตาน อ้างแหล่งข่าวทางทหาร
ดาเอชเป็นชื่อย่อภาษาอาหรับของกลุ่มรัฐอิสลาม
กองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (เอสดีเอฟ) ที่สหรัฐฯ หนุนหลังทำการปิดล้อมหมู่บ้านบากูซ พื้นที่สุดท้ายของไอเอสทางตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรสติสมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์
นักรบญิฮาดราว 200 คนยอมจำนวนในบากูซหลังจากการสู้รบรุนแรงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ แต่ประมาณ 1,000 คนอาจยังเล่นตัวอยู่ โฆษกของกลุ่มเอสดีเอฟที่กำลังต่อสู้กับพวกเขาอยู่ กล่าว
ถึงแม้ว่าความพ่ายแพ้ที่บากูซของไอเอสจะถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการต่อสู้กับนักรบญิฮาดกลุ่มนี้ แต่ไอเอสคาดว่าจะยังคงเป็นภัยคุกคามกบฏภายในซีเรียและอิรักต่อไป
กองทัพซีเรียยึดเมืองซุคนาจากไอเอสได้ในปี 2017 ในขณะที่พวกเขาทำการขับไล่พวกนักรบญิฮาดทั่วตอนกลางของซีเรียในการรุกคืบตามถนนหลวงกลางทะเลทรายจากพัลไมราถึงเดอีอัสซอร์
อย่างไรก็ตาม นักรบญิฮาดบางส่วนยังคงอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายรอบๆ และก่อเหตุโจมตีตำแหน่งและขบวนรถของกองทัพ แหล่งข่าวโปรดามัสกัส ระบุ
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
รอยเตอร์ – กองทัพซีเรียเพิ่มการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) และปะทะกับนักรบญิฮาดในตอนกลางของซีเรีย หนังสือพิมพ์โปรดามัสกัส อัลวาตาน รายงานในวันนี้ (5)
การเข้าปะทะวานนี้ (4) ในพื้นที่อัลซุคนาระหว่างเมืองพัลไมราและเดอีร์อัสซอร์มุ่งเป้าที่มั่นซึ่งกลุ่มไอเอสยังคงเหลืออยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ในขณะที่กลุ่มนักรบที่สหรัฐฯหนุนหลังเตรียมเข้ายึดพื้นที่สุดท้ายของไอเอสทางตะวันออกของแม่น้ำ
กองทัพอากาศของซีเรียเพิ่มการโจมตีทางอากาศมุ่งเป้าขบวนการดาเอชในฝั่งตะวันออกของเมืองบาดิยา โดยเฉพาะบริเวณหนึ่งในถนนแห้งแล้งที่มุ่งสู่เมืองอัลซุคนาและฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองนี้ อัลวาตาน อ้างแหล่งข่าวทางทหาร
ดาเอชเป็นชื่อย่อภาษาอาหรับของกลุ่มรัฐอิสลาม
กองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (เอสดีเอฟ) ที่สหรัฐฯ หนุนหลังทำการปิดล้อมหมู่บ้านบากูซ พื้นที่สุดท้ายของไอเอสทางตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรสติสมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์
นักรบญิฮาดราว 200 คนยอมจำนวนในบากูซหลังจากการสู้รบรุนแรงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ แต่ประมาณ 1,000 คนอาจยังเล่นตัวอยู่ โฆษกของกลุ่มเอสดีเอฟที่กำลังต่อสู้กับพวกเขาอยู่ กล่าว
ถึงแม้ว่าความพ่ายแพ้ที่บากูซของไอเอสจะถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการต่อสู้กับนักรบญิฮาดกลุ่มนี้ แต่ไอเอสคาดว่าจะยังคงเป็นภัยคุกคามกบฏภายในซีเรียและอิรักต่อไป
กองทัพซีเรียยึดเมืองซุคนาจากไอเอสได้ในปี 2017 ในขณะที่พวกเขาทำการขับไล่พวกนักรบญิฮาดทั่วตอนกลางของซีเรียในการรุกคืบตามถนนหลวงกลางทะเลทรายจากพัลไมราถึงเดอีอัสซอร์
อย่างไรก็ตาม นักรบญิฮาดบางส่วนยังคงอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายรอบๆ และก่อเหตุโจมตีตำแหน่งและขบวนรถของกองทัพ แหล่งข่าวโปรดามัสกัส ระบุ
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
[Edited 1 times "MnemoniC" - Last Edit 2019-03-05 20:26:32]
# Wed 6 Mar 2019 : 3:26AM
ผู้ก่อตั้งแอมะซอนยังยึดอภิมหาเศรษฐีโลก เจ้าสัวซีพีแซงขึ้นเบอร์1ไทย,แม่'ธนาธร'ขึ้นทำเนียบรวยล้นฟ้า
เอเอฟพี - เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ “แอมะซอน” ยังคงครองบัลลังก์อภิมหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของโลกต่อไป เหนือกว่า บิล เกตส์และวอร์เรน บัฟเฟตต์ จากการจัดอันดับปีล่าสุดของนิตยสารฟอร์บส์ ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ตามมาห่างๆ แต่ก็ทะยานขึ้นมาถึง 51 อันดับ ด้านอันดับในไทย เจ้าสัวซีพี แซงขึ้นมารั้งเบอร์ 1 และที่น่าสนใจคือ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งก้าวขึ้นมาติดอันดับมหาเศรษฐีในครั้งนี้ด้วย
ในขณะที่อันดับส่วนใหญ่คงที่จากปีที่แล้ว แต่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ร่วงลง 3 อันดับ รั้งอันดับ 8 สวนทางกับ ไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก ที่ขยับขึ้นมา 2 อันดับ รั้งอันดับ 9 มีทรัพย์สิน 55,500 ล้านดอลลาร์ จากเดิมมีทรัพย์สิน 50,000 ล้านดอลลาร์
จากรายชื่อที่ประกาศโดยนิตยสารฟอร์บส์เมื่อวันอังคาร(5มี.ค.) อภิมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกได้แก่ เบซอส วัย 55 ปี มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นปีเดียว 19,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 131,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ เกตส์ วัย 63 ปี ที่มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 96,500 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขี้นจากปีที่แล้ว 6,500 ล้านดอลลาร์
อันดับ 3 ตกเป็นของ บัฟเฟตต์ ที่ทรัพย์สินหดลง 1,500 ล้านดอลลาร์ เหลือ 82,500 ล้านดอลลาร์ จากพิษหุ้นของคราฟต์ ไฮนซ์ ธุรกิจแปรรูปอาหารยักษ์ใหญสัญชาติอเมริกัน ที่เขาถือหุ้นใหญ่ ดิ่งลงอย่างหนักในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
บอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ซีอีโอของ LVMH บริษัทสินค้าหรูสัญชาติฝรั่งเศส ยังคงครองอันดับ 4 ด้วยทรัพย์สิน 76,000 ล้านดอลลาร์ ผิดกับ ซัคเคอร์เบิร์ก ที่ทรัพย์สินหดตัวลง 9,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้หล่นจากอันดับ 5 สู่อันดับ 8 เหลือทรัพย์สิน 62,300 ล้านดอลลาร์
อีกหลายคนที่มีอันดับเหนือกว่า ซัคเคอร์เบิร์ก ก็คือ การ์ลอส สลิม มหาเศรษฐีชาวเม็กซิโก ซึ่งทีทรัพย์สิน 64,000 ล้านดอลลาร์ รั้งอันดับ 5, อามันซิโอ ออร์เตกา ผู้ก่อตั้งอินดิเท็กซ์จากสเปน มีทรัพย์สิน 62,700 ล้านดอลลาร์ อยู่อันดับ 6 และ แลร์รี เอลลิสัน ผู้ร่วมก่อตั้งออราเคิล หนึ่งในบริษัทซอฟต์แวร์ระบบฐานข้อมูลยักษ์ใหญ่ของโลก ตามมาเป็นอันดับ 7 มีทรัพย์สิน 62,500 ล้านดอลลาร์
ชาวอเมริกายังคงโด่ดเด่นในอันดับอภิมหาเศรษฐีโลก โดยบรรดาท็อป 20 มีอภิมหาเศรษฐีสหรัฐฯถึง 14 ราย
ในบรรดาอภิมหาเศรษฐีที่ไม่ใช่ชาวสหรัฐฯที่ติด 20 อันดับแรก ในนั้นรวมถึง มูเกช อัมบานี ชาวอินเดีย ประธานของรีไลแอนซ์ อินดัสทรีส์ รั้งอันดับ 13 ของโลก ด้วยทรัพย์สิน 50,000 ล้านดอลลาร์ และ หม่า ฮั่วเถิง ประธานเทนเซ็นต์ ยักษ์ใหญ่อินเตอร์เน็ตของจีน ซึ่งติดเข้ามาในอันดับที่ 20 พอดี ด้วยทรัพย์สิน 38,800 ล้านดอลลาร์
ฟอร์บส์ ประมาณการทรัพย์สินของ ทรัมป์ อยู่ที่ 3,100 ล้านดอลลาร์ เท่าเดิมจากปีที่แล้ว ขยับจากอันดับที่ 766 ของโลกเมื่อปีที่แล้ว ขึ้นมาอยู่อันดับ 715 ในปีนี้
ธนินท์ เจียรวนนท์
ในส่วนของอภิมหาเศรษฐีของไทยนั้น นายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวซีพี ก้าวขึ้นมารั้งอันดับ 1 ด้วยทรัพย์สิน 15,200 ล้านดอลลาร์(จากเดิม 14,900 ล้านดอลลาร์) อันดับ 75 ของโลก ตามมาด้วยแชมป์เก่า เจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อเบียร์ช้าง มีทรัพย์สิน 14,500 ล้านดอลลาร์(จากเดิม 17,900 ล้านดอลลาร์) อันดับ 87 ของโลก ส่วน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 1,800 ล้านดอลลาร์เท่าเดิม
ในปีนี้ยังปรากฎรายชื่อของบุคคลที่น่าสนใจ ได้แก่นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท มารดาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ก้าวขึ้นมาติดอันดับมหาเศรษฐีของไทยจากการประกาศของฟอร์บส์ในปี 2019 ด้วย โดยมีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ หลังจากไม่มีรายชื่อติดอันดับของปีก่อนหน้านี้
อันดับมหาเศรษฐีในไทยจากการจัดอันดับของฟอร์บส์ประจำปี 2019
1. ธนินท์ เจียรวนนท์ (ซีพี/ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 15,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 75 ของโลก
2. เจริญ สิริวัฒนภักดี (เบียร์ช้าง) มีทรัพย์สิน 14,500 ล้านดอลลาร์ อันดับ 87 ของโลก
3. อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา (คิง เพาเวอร์) มีทรัพย์สิน 5,900 ล้านดอลลาร์ อันดับ 290 ของโลก
4. สุเมธ เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 4,500 ล้านดอลาร์ อันดับ 424 ของโลก
5. จรัญ เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 4,400 ล้านดอลลาร์ อันดับ 436 ของโลก
6. มนตรี เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 4,400 ล้านดอลลาร์ อันดับ 436 ของโลก
7. สารัชถ์ รัตนาวะดี (ธุรกิจพลังงาน) มีทรัพย์สิน 4,400 ล้านดอลลาร์ อันดับ 436 ของโลก
8. วาณิช ไชยวรรณ (ไทยประกันชีวิต) มีทรัพย์สิน 3,300 ล้านดอลลาร์ อันดับ 667 ของโลก
9.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (ธุรกิจโรงพยาบาล) มีทรัพย์สิน 3,300 ล้านดอลลาร์ อันดับ 667 ของโลก
10. สมโภชน์ อาหุนัย (ธุรกิจพลังงาน) มีทรัพย์สิน 2,500 ล้านดอลลาร์ อันดับ 916 ของโลก
11.ชูชาติ-ดาวนภา เพชรอำไพ (ธุรกิจสินเชื่อจักรยานยนต์) มีทรัพย์สิน 2,000 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 962 ของโลก
12. กฤตย์ รัตนรักษ์ (ช่อง 7) มีทรัพย์สิน 2,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,057 ของโลก
13.เกียรติ เจียรวนนท์ (ธุรกิจอาหาร) มีทรัพย์สิน 2,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,168 ของโลก
14.ฮารัลด์ ลิงค์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 2,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,168 ของโลก
15. ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ (สีทีโอเอ) มีทรัพยสิน 2,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,168 ของโลก
16. วิลเลียม ไฮเน็ค (โรงแรม) มีทรัพย์สิน 1,900 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,227 ของโลก
17.คีรี กาญจนพาสน์ (บีทีเอส) มีทรัพย์สิน 1,800 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,281 ของโลก
18.ทักษิณ ชินวัตร (นักลงทุน) มีทรัพย์สิน 1,800 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,281 ของโลก
19.วิชัย ทองแตง (นักลงทุน) มีทรัพย์สิน 1,800 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,281 ของโลก
20.ประยุทธ มหากิจศิริ (เนสกาแฟ, ขนส่ง) มีทรัพย์สิน 1,600 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,425 ของโลก
21.นิติ โอสถานุเคราะห์ (นักลงทุน) มีทรัพย์สิน 1,400 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,605 ของโลก
22. ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ (พฤกษาเรียลเอสเตท) มีทรัพย์สิน 1,300 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,717 ของโลก
23.มนัส เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,818 ของโลก
24.ยุพา เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,818 ของโลก
25. พงษ์เทพ เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,818 ของโลก
26.ประทีป เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,818 ของโลก
7.สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (ประธานกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,818 ของโลก
28.อนันต์ อัศวโภคิน (ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัย์) มีทรัพย์สิน 1,100 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,941 ของโลก
29.ฤทธิ์ ธีระโกเมน (ธุรกิจร้านอาหาร) มีทรัพย์สิน 1,100 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,941 ของโลก
30.ฉัตรชัย แก้วบุตตา (ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์) มีทรัพย์สิน 1,000 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 2,057 ของโลก
31. สุรินทร์ อุปพัทธกุล (โทรคมนาคม, ลอตเตอรี่, ประกันภัย) มีทรัพย์สิน 1,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 2,057 ของโลก
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
เอเอฟพี - เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ “แอมะซอน” ยังคงครองบัลลังก์อภิมหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของโลกต่อไป เหนือกว่า บิล เกตส์และวอร์เรน บัฟเฟตต์ จากการจัดอันดับปีล่าสุดของนิตยสารฟอร์บส์ ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ตามมาห่างๆ แต่ก็ทะยานขึ้นมาถึง 51 อันดับ ด้านอันดับในไทย เจ้าสัวซีพี แซงขึ้นมารั้งเบอร์ 1 และที่น่าสนใจคือ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งก้าวขึ้นมาติดอันดับมหาเศรษฐีในครั้งนี้ด้วย
ในขณะที่อันดับส่วนใหญ่คงที่จากปีที่แล้ว แต่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ร่วงลง 3 อันดับ รั้งอันดับ 8 สวนทางกับ ไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก ที่ขยับขึ้นมา 2 อันดับ รั้งอันดับ 9 มีทรัพย์สิน 55,500 ล้านดอลลาร์ จากเดิมมีทรัพย์สิน 50,000 ล้านดอลลาร์
จากรายชื่อที่ประกาศโดยนิตยสารฟอร์บส์เมื่อวันอังคาร(5มี.ค.) อภิมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกได้แก่ เบซอส วัย 55 ปี มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นปีเดียว 19,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 131,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ เกตส์ วัย 63 ปี ที่มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 96,500 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขี้นจากปีที่แล้ว 6,500 ล้านดอลลาร์
อันดับ 3 ตกเป็นของ บัฟเฟตต์ ที่ทรัพย์สินหดลง 1,500 ล้านดอลลาร์ เหลือ 82,500 ล้านดอลลาร์ จากพิษหุ้นของคราฟต์ ไฮนซ์ ธุรกิจแปรรูปอาหารยักษ์ใหญสัญชาติอเมริกัน ที่เขาถือหุ้นใหญ่ ดิ่งลงอย่างหนักในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
บอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ซีอีโอของ LVMH บริษัทสินค้าหรูสัญชาติฝรั่งเศส ยังคงครองอันดับ 4 ด้วยทรัพย์สิน 76,000 ล้านดอลลาร์ ผิดกับ ซัคเคอร์เบิร์ก ที่ทรัพย์สินหดตัวลง 9,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้หล่นจากอันดับ 5 สู่อันดับ 8 เหลือทรัพย์สิน 62,300 ล้านดอลลาร์
อีกหลายคนที่มีอันดับเหนือกว่า ซัคเคอร์เบิร์ก ก็คือ การ์ลอส สลิม มหาเศรษฐีชาวเม็กซิโก ซึ่งทีทรัพย์สิน 64,000 ล้านดอลลาร์ รั้งอันดับ 5, อามันซิโอ ออร์เตกา ผู้ก่อตั้งอินดิเท็กซ์จากสเปน มีทรัพย์สิน 62,700 ล้านดอลลาร์ อยู่อันดับ 6 และ แลร์รี เอลลิสัน ผู้ร่วมก่อตั้งออราเคิล หนึ่งในบริษัทซอฟต์แวร์ระบบฐานข้อมูลยักษ์ใหญ่ของโลก ตามมาเป็นอันดับ 7 มีทรัพย์สิน 62,500 ล้านดอลลาร์
ชาวอเมริกายังคงโด่ดเด่นในอันดับอภิมหาเศรษฐีโลก โดยบรรดาท็อป 20 มีอภิมหาเศรษฐีสหรัฐฯถึง 14 ราย
ในบรรดาอภิมหาเศรษฐีที่ไม่ใช่ชาวสหรัฐฯที่ติด 20 อันดับแรก ในนั้นรวมถึง มูเกช อัมบานี ชาวอินเดีย ประธานของรีไลแอนซ์ อินดัสทรีส์ รั้งอันดับ 13 ของโลก ด้วยทรัพย์สิน 50,000 ล้านดอลลาร์ และ หม่า ฮั่วเถิง ประธานเทนเซ็นต์ ยักษ์ใหญ่อินเตอร์เน็ตของจีน ซึ่งติดเข้ามาในอันดับที่ 20 พอดี ด้วยทรัพย์สิน 38,800 ล้านดอลลาร์
ฟอร์บส์ ประมาณการทรัพย์สินของ ทรัมป์ อยู่ที่ 3,100 ล้านดอลลาร์ เท่าเดิมจากปีที่แล้ว ขยับจากอันดับที่ 766 ของโลกเมื่อปีที่แล้ว ขึ้นมาอยู่อันดับ 715 ในปีนี้
ธนินท์ เจียรวนนท์
ในส่วนของอภิมหาเศรษฐีของไทยนั้น นายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวซีพี ก้าวขึ้นมารั้งอันดับ 1 ด้วยทรัพย์สิน 15,200 ล้านดอลลาร์(จากเดิม 14,900 ล้านดอลลาร์) อันดับ 75 ของโลก ตามมาด้วยแชมป์เก่า เจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อเบียร์ช้าง มีทรัพย์สิน 14,500 ล้านดอลลาร์(จากเดิม 17,900 ล้านดอลลาร์) อันดับ 87 ของโลก ส่วน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 1,800 ล้านดอลลาร์เท่าเดิม
ในปีนี้ยังปรากฎรายชื่อของบุคคลที่น่าสนใจ ได้แก่นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท มารดาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ก้าวขึ้นมาติดอันดับมหาเศรษฐีของไทยจากการประกาศของฟอร์บส์ในปี 2019 ด้วย โดยมีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ หลังจากไม่มีรายชื่อติดอันดับของปีก่อนหน้านี้
อันดับมหาเศรษฐีในไทยจากการจัดอันดับของฟอร์บส์ประจำปี 2019
1. ธนินท์ เจียรวนนท์ (ซีพี/ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 15,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 75 ของโลก
2. เจริญ สิริวัฒนภักดี (เบียร์ช้าง) มีทรัพย์สิน 14,500 ล้านดอลลาร์ อันดับ 87 ของโลก
3. อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา (คิง เพาเวอร์) มีทรัพย์สิน 5,900 ล้านดอลลาร์ อันดับ 290 ของโลก
4. สุเมธ เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 4,500 ล้านดอลาร์ อันดับ 424 ของโลก
5. จรัญ เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 4,400 ล้านดอลลาร์ อันดับ 436 ของโลก
6. มนตรี เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 4,400 ล้านดอลลาร์ อันดับ 436 ของโลก
7. สารัชถ์ รัตนาวะดี (ธุรกิจพลังงาน) มีทรัพย์สิน 4,400 ล้านดอลลาร์ อันดับ 436 ของโลก
8. วาณิช ไชยวรรณ (ไทยประกันชีวิต) มีทรัพย์สิน 3,300 ล้านดอลลาร์ อันดับ 667 ของโลก
9.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (ธุรกิจโรงพยาบาล) มีทรัพย์สิน 3,300 ล้านดอลลาร์ อันดับ 667 ของโลก
10. สมโภชน์ อาหุนัย (ธุรกิจพลังงาน) มีทรัพย์สิน 2,500 ล้านดอลลาร์ อันดับ 916 ของโลก
11.ชูชาติ-ดาวนภา เพชรอำไพ (ธุรกิจสินเชื่อจักรยานยนต์) มีทรัพย์สิน 2,000 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 962 ของโลก
12. กฤตย์ รัตนรักษ์ (ช่อง 7) มีทรัพย์สิน 2,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,057 ของโลก
13.เกียรติ เจียรวนนท์ (ธุรกิจอาหาร) มีทรัพย์สิน 2,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,168 ของโลก
14.ฮารัลด์ ลิงค์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 2,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,168 ของโลก
15. ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ (สีทีโอเอ) มีทรัพยสิน 2,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,168 ของโลก
16. วิลเลียม ไฮเน็ค (โรงแรม) มีทรัพย์สิน 1,900 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,227 ของโลก
17.คีรี กาญจนพาสน์ (บีทีเอส) มีทรัพย์สิน 1,800 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,281 ของโลก
18.ทักษิณ ชินวัตร (นักลงทุน) มีทรัพย์สิน 1,800 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,281 ของโลก
19.วิชัย ทองแตง (นักลงทุน) มีทรัพย์สิน 1,800 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,281 ของโลก
20.ประยุทธ มหากิจศิริ (เนสกาแฟ, ขนส่ง) มีทรัพย์สิน 1,600 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,425 ของโลก
21.นิติ โอสถานุเคราะห์ (นักลงทุน) มีทรัพย์สิน 1,400 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,605 ของโลก
22. ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ (พฤกษาเรียลเอสเตท) มีทรัพย์สิน 1,300 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,717 ของโลก
23.มนัส เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,818 ของโลก
24.ยุพา เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,818 ของโลก
25. พงษ์เทพ เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,818 ของโลก
26.ประทีป เจียรวนนท์ (ธุรกิจหลากหลาย) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 1,818 ของโลก
7.สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (ประธานกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท) มีทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,818 ของโลก
28.อนันต์ อัศวโภคิน (ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัย์) มีทรัพย์สิน 1,100 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,941 ของโลก
29.ฤทธิ์ ธีระโกเมน (ธุรกิจร้านอาหาร) มีทรัพย์สิน 1,100 ล้านดอลลาร์ อันดับ 1,941 ของโลก
30.ฉัตรชัย แก้วบุตตา (ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์) มีทรัพย์สิน 1,000 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 2,057 ของโลก
31. สุรินทร์ อุปพัทธกุล (โทรคมนาคม, ลอตเตอรี่, ประกันภัย) มีทรัพย์สิน 1,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 2,057 ของโลก
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
# Wed 6 Mar 2019 : 8:07PM
ตุรกี-อิหร่านจับมือร่วมปฏิบัติการปราบ “กบฏชาวเคิร์ด”
เอเอฟพี – สองเพื่อนบ้าน ตุรกีและอิหร่านจะดำเนินปฏิบัติการร่วมปราบปรามกบฏชาวเคิร์ด สำนักข่ายอนาโดลูของทางการ รายงานโดยอ้างคำพูดของรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในวันนี้ (6)
“ด้วยพระประสงค์ของผู้เป็นเจ้า เราจะดำเนินปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มพีเคเคร่วมกับอิหร่าน” ซูเลย์มาน ซอยลู รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย พูดถึงพรรคแรงงานเคอร์ดิสถานที่ถูกอังการาและพันธมิตรตะวันตกขึ้นบัญชีกลุ่มก่อการร้าย
ซอยลูไม่ได้ระบุชัดว่าฐานที่มั่นไหนของพีเคเคที่จะตกเป็นเป้าของปฏิบัติการนี้ แต่ประธานาธิบดี เรเซป ตัยยิบ แอร์โดอัน กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ปฏิบัติการนี้มุ่งเป้าแหล่งกบดานของกลุ่มติดอาวุธในอิรัก
ตุรกีต่อสู้กับกลุ่มพีเคเคมานานหลายสิบปี ในขณะที่กองกำลังความมั่นคงของอิหร่านก็สู้รบกับเครือข่ายของกลุ่มนี้ชื่อว่า พรรคชีวิตเสรีแห่งเคอร์ดิสถาน (Party of Free Life of Kurdistan : PJAK) ทั้งสองกลุ่มมีฐานที่มั่นในอิรัก
เมื่อปี 2017 แอร์โดอัน กล่าวว่า ปฏิบัติการร่วมปราบกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดของตุรกี-อิหร่านอยู่ในการหารือเสมอมา
เขากล่าวเสริมว่า ผู้บัญชาการทหารของสองประเทศได้หารือถึงวิธีการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ด แต่หน่วยพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านปฏิเสธในเวลานั้น
พีเคเคก่อการกบฏ 35 ปีกับรัฐตุรกีเพื่อเรียกร้องเอกราชและสิทธิปกครองตนเองที่มากกว่านี้ให้กับชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ดในตุรกี จนทำให้มีผู้สังเวยชีวิตไปแล้วหลายหมื่นราย
กองทัพตุรกีทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นกลุ่มพีเคเคในพื้นที่ภูเขาของอิรักเป็นประจำ
ถึงแม้ว่าสนับสนุนคนละฝ่ายกันในสงครามซีเรีย แต่เพื่อนบ้านทั้งสองซึ่งมองตัวเองเป็นผู้นำมหาอำนาจเก่าแก่ในภูมิภาคต่างทำงานร่วมกับผู้สนับสนุนรัฐบาลซีเรียอย่างรัสเซียเพื่อหาทางออกทางการเมืองให้กับวิกฤตนี้
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
เอเอฟพี – สองเพื่อนบ้าน ตุรกีและอิหร่านจะดำเนินปฏิบัติการร่วมปราบปรามกบฏชาวเคิร์ด สำนักข่ายอนาโดลูของทางการ รายงานโดยอ้างคำพูดของรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในวันนี้ (6)
“ด้วยพระประสงค์ของผู้เป็นเจ้า เราจะดำเนินปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มพีเคเคร่วมกับอิหร่าน” ซูเลย์มาน ซอยลู รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย พูดถึงพรรคแรงงานเคอร์ดิสถานที่ถูกอังการาและพันธมิตรตะวันตกขึ้นบัญชีกลุ่มก่อการร้าย
ซอยลูไม่ได้ระบุชัดว่าฐานที่มั่นไหนของพีเคเคที่จะตกเป็นเป้าของปฏิบัติการนี้ แต่ประธานาธิบดี เรเซป ตัยยิบ แอร์โดอัน กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ปฏิบัติการนี้มุ่งเป้าแหล่งกบดานของกลุ่มติดอาวุธในอิรัก
ตุรกีต่อสู้กับกลุ่มพีเคเคมานานหลายสิบปี ในขณะที่กองกำลังความมั่นคงของอิหร่านก็สู้รบกับเครือข่ายของกลุ่มนี้ชื่อว่า พรรคชีวิตเสรีแห่งเคอร์ดิสถาน (Party of Free Life of Kurdistan : PJAK) ทั้งสองกลุ่มมีฐานที่มั่นในอิรัก
เมื่อปี 2017 แอร์โดอัน กล่าวว่า ปฏิบัติการร่วมปราบกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดของตุรกี-อิหร่านอยู่ในการหารือเสมอมา
เขากล่าวเสริมว่า ผู้บัญชาการทหารของสองประเทศได้หารือถึงวิธีการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ด แต่หน่วยพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านปฏิเสธในเวลานั้น
พีเคเคก่อการกบฏ 35 ปีกับรัฐตุรกีเพื่อเรียกร้องเอกราชและสิทธิปกครองตนเองที่มากกว่านี้ให้กับชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ดในตุรกี จนทำให้มีผู้สังเวยชีวิตไปแล้วหลายหมื่นราย
กองทัพตุรกีทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นกลุ่มพีเคเคในพื้นที่ภูเขาของอิรักเป็นประจำ
ถึงแม้ว่าสนับสนุนคนละฝ่ายกันในสงครามซีเรีย แต่เพื่อนบ้านทั้งสองซึ่งมองตัวเองเป็นผู้นำมหาอำนาจเก่าแก่ในภูมิภาคต่างทำงานร่วมกับผู้สนับสนุนรัฐบาลซีเรียอย่างรัสเซียเพื่อหาทางออกทางการเมืองให้กับวิกฤตนี้
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
# Thu 7 Mar 2019 : 8:11PM
หลังหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐออกมาเตือนเรื่องการสอดแนมของ Huawei จนกระทั่งรัฐบาลรับลูกต่อออกคำสั่งแบนการใช้งานอุปกรณ์ Huawei ลามไปรัฐบาลประเทศพันธมิตร
ล่าสุด Huawei เดินเกมโต้กลับด้วยการยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐแล้วที่ศาลแขวงเมือง Plano รัฐ Texas ที่ Huawei ไปตั้งสำนักงานใหญ่ โดยระบุว่าคำสั่งแบนของรัฐบาลผิดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นคำสั่งลงโทษ โดยที่ยังไม่มีการไต่สวนในชั้นศาลเลย ด้าน Guo Ping ประธาน Huawei ให้ความเห็นว่าบริษัทไม่มีทางเลือกแล้ว หลังจากพยายามเจรจาพูดคุยกับหน่วยงานรัฐของสหรัฐมาตลอด
Guo อ้างด้วยว่า "รัฐบาลสหรัฐพยายามป้ายสีว่า Huawei เป็นภัยมาโดยตลอด โดยที่ไม่เคยแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงข้อกล่าวหาดังกล่าว ขณะที่รัฐบาลสหรัฐเองก็แฮกเซิร์ฟเวอร์ Huawei ขโมยอีเมลและซอสโค้ดไปเองแท้ๆ แต่ก็ยังมาละเลงป้ายสีบริษัทและทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด"
Song Liuping หัวหน้าฝ่ายกฎหมายบอกว่า Huawei ไม่เคยและไม่มีวันติดตั้ง backdoor ในอุปกรณ์ เพราะมันไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย (ทางการค้า) และ Huawei ก็ไม่เคยได้โอกาสในการประจัญหน้า, แก้ต่างหรือพิสูจน์ตัวเองกับผู้กล่าวหา (รัฐบาลสหรัฐ) เลย
ล่าสุด Huawei เดินเกมโต้กลับด้วยการยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐแล้วที่ศาลแขวงเมือง Plano รัฐ Texas ที่ Huawei ไปตั้งสำนักงานใหญ่ โดยระบุว่าคำสั่งแบนของรัฐบาลผิดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นคำสั่งลงโทษ โดยที่ยังไม่มีการไต่สวนในชั้นศาลเลย ด้าน Guo Ping ประธาน Huawei ให้ความเห็นว่าบริษัทไม่มีทางเลือกแล้ว หลังจากพยายามเจรจาพูดคุยกับหน่วยงานรัฐของสหรัฐมาตลอด
Guo อ้างด้วยว่า "รัฐบาลสหรัฐพยายามป้ายสีว่า Huawei เป็นภัยมาโดยตลอด โดยที่ไม่เคยแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงข้อกล่าวหาดังกล่าว ขณะที่รัฐบาลสหรัฐเองก็แฮกเซิร์ฟเวอร์ Huawei ขโมยอีเมลและซอสโค้ดไปเองแท้ๆ แต่ก็ยังมาละเลงป้ายสีบริษัทและทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด"
Song Liuping หัวหน้าฝ่ายกฎหมายบอกว่า Huawei ไม่เคยและไม่มีวันติดตั้ง backdoor ในอุปกรณ์ เพราะมันไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย (ทางการค้า) และ Huawei ก็ไม่เคยได้โอกาสในการประจัญหน้า, แก้ต่างหรือพิสูจน์ตัวเองกับผู้กล่าวหา (รัฐบาลสหรัฐ) เลย
# Fri 8 Mar 2019 : 11:20PM
อินเดียเซ็นข้อตกลงเช่า “เรือดำน้ำนิวเคลียร์” มูลค่า 9.5 หมื่นล้านบาทจากรัสเซีย
เอเอฟพี – อินเดียลงนามข้อตกลงมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 9.5 หมื่นล้านบาท) เพื่อเช่าเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซียเป็นเวลา 10 ปี ทำให้เดลีมีอำนาจต้านทานศัตรูเก่าแก่อย่างปากีสถานและจีนในมหาสมุทรอินเดียมากขึ้น รายงานข่าว ระบุ
ข้อตกลงซึ่งตามรายงานใช้เวลาหลายเดือนในการเจรจาออกมาในขณะที่ความตึงเครียดพุ่งสูงขึ้นระหว่างอินเดียและปากีสถานภายหลังความตึงเครียดครั้งใหญ่สุดในรอบหลายปี และในขณะที่อิทธิพลของจีนในภูมิภาคกำลังเพิ่มมากขึ้น
โฆษกกระทรวงกลาโหมปฏิเสธที่จะยืนยันข้อตกลงดังกล่าวกับเอเอฟพี แต่รายงาน ระบุว่า เรือดำน้ำลำดังกล่าว ลำที่สามที่อินเดียเช่าจากรัสเซีย จะถูกส่งมอบในปี 2025
รัสเซีย พันธมิตรสงครามเย็นของอินเดีย ยังคงเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ให้กับอินเดีย สร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐฯ ที่บังคับใช้การคว่ำบาตรต่อหลายประเทศที่ซื้อยุทโธปกรณ์จากมอสโก
เมื่อเดือนตุลาคม ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียและนายกรัฐมนตรี นเรนธรา โมดี พบกันและลงนามข้อตกลงสำหรับเดลีที่จะซื้อระบบขีปนาวุธภาคพื้นสู่อากาศ S-400 ของรัสเซียมูลค่า 5.2 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม อินเดียก็มีความกังวลเช่นเดียวกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับความก้าวร้าวมากขึ้นของจีนในมหาสมุทรอินเดียซึ่งนิวเดลีกุมอำนาจมาเนิ่นนาน
ในปี 2017 อินเดียและจีนมีความตึงเครียดทางทหารบริเวณที่ราบสูงหิมาลัยที่ถูกอ้างสิทธิโดยปักกิ่งและภูฏาน พันธมิตรใกล้ชิดของอินเดีย
จีนล่วงล้ำเข้าไปในศรีลังกาและมัลดีฟ ประเทศที่อินเดียมองว่าอยู่ในเขตอิทธิพลของพวกเขา ผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI)
อินเดียแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวเนื่องจากมีส่วนสำคัญตัดผ่านแคชเมียร์ฝั่งปากีสถาน พื้นที่พิพาทที่เป็นตัวจุดชนวนวิกฤตครั้งล่าสุด
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ อินเดีย ระบุว่า เครื่องบินขับไล่ของพวกเขาได้โจมตีค่ายกลุ่มติดอาวุธในปากีสถานในการตอบโต้เหตุระเบิดฆ่าตัวตายในแคชเมียร์ที่คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่กึ่งทหาร 40 คนและถูกอ้างความรับผิดชอบโดยกลุ่มติดอาวุธที่มีฐานในปากีสถาน
วันต่อมา ปากีสถานก็ดำเนินปฏิบัติการทางอากาศเช่นกัน ทำให้เกิดการต่อสู้กลางเวหาที่เครื่องบินขับไล่อินเดียลำหนึ่งถูกยิงตก อินเดียยังระบุด้วยว่า พวกเขาได้ยิงเครื่องบินปากีสถานลำหนึ่งตกแต่อิสลามาบัดปฏิเสธเรื่องนี้
ความตึงเครียดคลายลงหลังจากเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (1) ปากีสถานส่งคืนตัวนักบินของเครื่องบินที่ตก ถึงแม้ว่าทั้งสองชาติจะยังคงยิงปืนใหญ่และปืนครกบริเวณชายแดนแคชเมียร์ก็ตาม
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
เอเอฟพี – อินเดียลงนามข้อตกลงมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 9.5 หมื่นล้านบาท) เพื่อเช่าเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซียเป็นเวลา 10 ปี ทำให้เดลีมีอำนาจต้านทานศัตรูเก่าแก่อย่างปากีสถานและจีนในมหาสมุทรอินเดียมากขึ้น รายงานข่าว ระบุ
ข้อตกลงซึ่งตามรายงานใช้เวลาหลายเดือนในการเจรจาออกมาในขณะที่ความตึงเครียดพุ่งสูงขึ้นระหว่างอินเดียและปากีสถานภายหลังความตึงเครียดครั้งใหญ่สุดในรอบหลายปี และในขณะที่อิทธิพลของจีนในภูมิภาคกำลังเพิ่มมากขึ้น
โฆษกกระทรวงกลาโหมปฏิเสธที่จะยืนยันข้อตกลงดังกล่าวกับเอเอฟพี แต่รายงาน ระบุว่า เรือดำน้ำลำดังกล่าว ลำที่สามที่อินเดียเช่าจากรัสเซีย จะถูกส่งมอบในปี 2025
รัสเซีย พันธมิตรสงครามเย็นของอินเดีย ยังคงเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ให้กับอินเดีย สร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐฯ ที่บังคับใช้การคว่ำบาตรต่อหลายประเทศที่ซื้อยุทโธปกรณ์จากมอสโก
เมื่อเดือนตุลาคม ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียและนายกรัฐมนตรี นเรนธรา โมดี พบกันและลงนามข้อตกลงสำหรับเดลีที่จะซื้อระบบขีปนาวุธภาคพื้นสู่อากาศ S-400 ของรัสเซียมูลค่า 5.2 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม อินเดียก็มีความกังวลเช่นเดียวกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับความก้าวร้าวมากขึ้นของจีนในมหาสมุทรอินเดียซึ่งนิวเดลีกุมอำนาจมาเนิ่นนาน
ในปี 2017 อินเดียและจีนมีความตึงเครียดทางทหารบริเวณที่ราบสูงหิมาลัยที่ถูกอ้างสิทธิโดยปักกิ่งและภูฏาน พันธมิตรใกล้ชิดของอินเดีย
จีนล่วงล้ำเข้าไปในศรีลังกาและมัลดีฟ ประเทศที่อินเดียมองว่าอยู่ในเขตอิทธิพลของพวกเขา ผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI)
อินเดียแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวเนื่องจากมีส่วนสำคัญตัดผ่านแคชเมียร์ฝั่งปากีสถาน พื้นที่พิพาทที่เป็นตัวจุดชนวนวิกฤตครั้งล่าสุด
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ อินเดีย ระบุว่า เครื่องบินขับไล่ของพวกเขาได้โจมตีค่ายกลุ่มติดอาวุธในปากีสถานในการตอบโต้เหตุระเบิดฆ่าตัวตายในแคชเมียร์ที่คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่กึ่งทหาร 40 คนและถูกอ้างความรับผิดชอบโดยกลุ่มติดอาวุธที่มีฐานในปากีสถาน
วันต่อมา ปากีสถานก็ดำเนินปฏิบัติการทางอากาศเช่นกัน ทำให้เกิดการต่อสู้กลางเวหาที่เครื่องบินขับไล่อินเดียลำหนึ่งถูกยิงตก อินเดียยังระบุด้วยว่า พวกเขาได้ยิงเครื่องบินปากีสถานลำหนึ่งตกแต่อิสลามาบัดปฏิเสธเรื่องนี้
ความตึงเครียดคลายลงหลังจากเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (1) ปากีสถานส่งคืนตัวนักบินของเครื่องบินที่ตก ถึงแม้ว่าทั้งสองชาติจะยังคงยิงปืนใหญ่และปืนครกบริเวณชายแดนแคชเมียร์ก็ตาม
ที่มา: ผู้จัดการ ออนไลน์ [Link]
[Edited 1 times "MnemoniC" - Last Edit 2019-03-08 23:26:35]
# Fri 8 Mar 2019 : 11:40PM
พิมพ์เขียวหน้าจอมือถือแบบพับได้ของ Samsung ถูกขโมยไปขายให้บริษัทจีน
สงครามในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือนั้นดูจะดุเดือดยิ่งกว่าที่เราจินตนาการได้ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังจะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ออกมาแบบนี้ ซึ่งก็เป็นเทรนด์ของการทำโทรศัพท์จอพับ และก็มีคนที่ใช้วิธีสกปรก ขโมยมันมาจาก Samsung และขายให้กับบริษัทอื่น
รายงานงานจากเว็บไซด์ Business Review เปิดเผยว่า สำนักงานอัยการของเขต Suwon ในประเทศเกาหลีใต้ ได้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัยทั้งหมด 11 รายที่กระทำการขโมยข้อมูลสำคัญของบริษัท Samsung โดยทางอัยการเขตได้เปิดเผยว่าทาง Supplier ของ Samsung ได้ขโมยพิมพ์เขียวของจอแบบ OLED ที่มีความยืดหยุ่นและพับได้ นำไปขายให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศจีนเป็นมูลค่าสูงถึง 14 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 420 ล้านบาทไทย โดยไม่มีการระบุชื่อของบริษัทดังกล่าว
ทาง Samsung ลงทุนกับโครงการนี้ไปมากกว่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และใช้เวลาอีกกว่า 6 ปี ในการพัฒนาจอที่สามารถบิดงอได้ และการค้นคว้าในครั้งนี้ก็จะช่วยให้ยอดขายของบริษัทกระเตื้องขึ้นมาได้อย่างมาก โดยจากแถลงการณ์ของทาง Samsung Display ระบุอีกว่า พวกเขารู้สึกประหลาดใจและตื่นตระหนกมากที่เรื่องนี้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไปว่ามีบริษัทใดที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้บ้าง และทางอัยการเขตจะประสานงานกับทาง Interpool หรือตำรวจสากลต่อไป
ที่มา: เกมมิ่งโดส [Link]
สงครามในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือนั้นดูจะดุเดือดยิ่งกว่าที่เราจินตนาการได้ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังจะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ออกมาแบบนี้ ซึ่งก็เป็นเทรนด์ของการทำโทรศัพท์จอพับ และก็มีคนที่ใช้วิธีสกปรก ขโมยมันมาจาก Samsung และขายให้กับบริษัทอื่น
รายงานงานจากเว็บไซด์ Business Review เปิดเผยว่า สำนักงานอัยการของเขต Suwon ในประเทศเกาหลีใต้ ได้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัยทั้งหมด 11 รายที่กระทำการขโมยข้อมูลสำคัญของบริษัท Samsung โดยทางอัยการเขตได้เปิดเผยว่าทาง Supplier ของ Samsung ได้ขโมยพิมพ์เขียวของจอแบบ OLED ที่มีความยืดหยุ่นและพับได้ นำไปขายให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศจีนเป็นมูลค่าสูงถึง 14 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 420 ล้านบาทไทย โดยไม่มีการระบุชื่อของบริษัทดังกล่าว
ทาง Samsung ลงทุนกับโครงการนี้ไปมากกว่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และใช้เวลาอีกกว่า 6 ปี ในการพัฒนาจอที่สามารถบิดงอได้ และการค้นคว้าในครั้งนี้ก็จะช่วยให้ยอดขายของบริษัทกระเตื้องขึ้นมาได้อย่างมาก โดยจากแถลงการณ์ของทาง Samsung Display ระบุอีกว่า พวกเขารู้สึกประหลาดใจและตื่นตระหนกมากที่เรื่องนี้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไปว่ามีบริษัทใดที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้บ้าง และทางอัยการเขตจะประสานงานกับทาง Interpool หรือตำรวจสากลต่อไป
ที่มา: เกมมิ่งโดส [Link]
View all 5 comments >
Sat 9 Mar 2019 : 8:58PM
Huaweiหรือเปล่า
Like : "MnemoniC"
Sat 9 Mar 2019 : 9:07PM
Kevin4real;2480197 wrote:
Huaweiหรือเปล่า
Sat 9 Mar 2019 : 9:12PM
"MnemoniC";2480198 wrote:
Kevin4real;2480197 wrote:
Huaweiหรือเปล่า
เท่าที่ทราบหัวเว่ยเริ่มทำมือถือพับได้ขายด้วยครับ
Sat 9 Mar 2019 : 9:17PM
Kevin4real;2480201 wrote:
"MnemoniC";2480198 wrote:
Kevin4real;2480197 wrote:
Huaweiหรือเปล่า
เท่าที่ทราบหัวเว่ยเริ่มทำมือถือพับได้ขายด้วยครับ
Wed 13 Mar 2019 : 8:48AM
ไม่รู้ไปขโมยอีท่าไหน ออกมาไม่เหมือนต้นแบบซักเจ้า
- ซัมซุง : พับเข้า มีจอหลังอีกจอ
- บ.จีนโนเนม (เปิดตัวก่อนซัมซุง) : พับออก
- หัวเหว่ย : พับออก (เหมือนบ.บน แต่ดูดีกว่า)
- เสี่ยวหมี : พับออก (2 ทาง ซ้ายขวา)
- ซัมซุง : พับเข้า มีจอหลังอีกจอ
- บ.จีนโนเนม (เปิดตัวก่อนซัมซุง) : พับออก
- หัวเหว่ย : พับออก (เหมือนบ.บน แต่ดูดีกว่า)
- เสี่ยวหมี : พับออก (2 ทาง ซ้ายขวา)
# Sat 9 Mar 2019 : 8:56PM
สหรัฐเรียกร้องชาติพันธมิตร ช่วยจ่ายเงินเดือนทหารมะกันในต่างแดน
ทำเนียบขาวเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรช่วยแชร์ค่าใช้จ่าย ของทหารสหรัฐที่ประจำอยู่ในประเทศของตนอย่างน้อย 50%
บลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในคณะบริหารของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่า ขณะนี้ทำเนียบขาวมีแผนเจรจากับรัฐบาลของชาติพันธมิตรหลายประเทศทั้งเยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงชาติพันธมิตรอื่นๆ ที่มีฐานทัพสหรัฐประจำอยู่ ให้รัฐบาลของประเทศนั้นๆร่วมเป็นเจ้าภาพในการ"ออกค่าใช้จ่าย"บางส่วนอย่างน้อย 50% หรือมากกว่านั้นในการจ่ายเงินเดือน รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆให้กับทหารสหรัฐในต่างแดน
ในบางกรณีประเทศที่มีฐานทัพสหรัฐประจำการอยู่อาจต้อง'ช่วย'ออกค่าใช้จ่ายต่างๆรวมกับสหรัฐอย่างน้อย 5 ถึง 6 เท่าของงบประมาณที่กองทัพสหรัฐใช้จ่ายในประเทศนั้นภายใต้สูตร "ต้นทุนบวก 50" กล่าวคือรัฐบาลสหรัฐยังคงออกค่าใช้จ่ายสำหรับกองทัพในต่างแดนเท่าเดิม แต่ต้องการให้รัฐบาลประเทศเจ้าภาพช่วยออกค่าใช้จ่ายรวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆเพิ่มเติม
รายงานดังกล่างสอดคล้องกับท่าที่ของนายจอห์น โบลตันที่ปรึกษาความมั่นคงประจำทำเนียบขวาที่เคยระบุในบันทึกว่าต้องการให้ประเทศพันธมิตรช่วยออกงบประมาณดูแลทหารสหรัฐที่ประจำในแต่ละประเทศ
ขณะที่ในหลายครั้งที่ผ่านมาปธน.ทรัมป์ได้ยืนกรานในเรื่องนี้มาโดยตลอด ล่าสุดกับการที่สหรัฐได้มีข้อตกลงเจรจากับรัฐบาลเกาหลีใต้ในการดูแลสถานะของกองทัพสหรัฐจำนวน 28,000 นายที่ประจำการอยู่ในเกาหลีใต้ โดยทั้งสองประเทศเห็นพ้องในการเพิ่มงบประมาณด้านกองทัพเป็น 924 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 เพิ่มจากปีก่อนที่ 830 ล้านดอลลาร์
เช่นเดียวกับที่หลายครั้งที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกร้องให้ชาติพันธมิตรนาโต้ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณของนาโต้ในลักษณะเท่าเทียมกันแบบแฟร์ๆ เนื่องจากปธน.ทรัมป์มองว่าสหรัฐต้องรับผิดชอบกับค่าใช้จ่ายของนาโต้อย่างไม่เป็นธรรม
อย่างไรก็ดี ในฐานทัพสหรัฐที่ประจำการอยู่ในบางประเทศอย่างที่เยอรมนีนั้น รัฐบาลเยอรมนีได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆของฐานทัพสหรัฐในระดับสูงอยู่แล้วที่ราว 28% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ตามข้อมูลจาก Rand Corporation ซึ่งหากรวมกับแนวคิดเรื่อง "ต้นทุนบวก 50" ไปด้วยแล้วจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณทางทหารสูงขึ้นอย่างเท่าตัว รวมถึงเกาหลีใต้ และญี่ปุ่นด้วย
ที่มา: โพสต์ทูเดย์ [Link]
ทำเนียบขาวเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรช่วยแชร์ค่าใช้จ่าย ของทหารสหรัฐที่ประจำอยู่ในประเทศของตนอย่างน้อย 50%
บลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในคณะบริหารของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่า ขณะนี้ทำเนียบขาวมีแผนเจรจากับรัฐบาลของชาติพันธมิตรหลายประเทศทั้งเยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงชาติพันธมิตรอื่นๆ ที่มีฐานทัพสหรัฐประจำอยู่ ให้รัฐบาลของประเทศนั้นๆร่วมเป็นเจ้าภาพในการ"ออกค่าใช้จ่าย"บางส่วนอย่างน้อย 50% หรือมากกว่านั้นในการจ่ายเงินเดือน รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆให้กับทหารสหรัฐในต่างแดน
ในบางกรณีประเทศที่มีฐานทัพสหรัฐประจำการอยู่อาจต้อง'ช่วย'ออกค่าใช้จ่ายต่างๆรวมกับสหรัฐอย่างน้อย 5 ถึง 6 เท่าของงบประมาณที่กองทัพสหรัฐใช้จ่ายในประเทศนั้นภายใต้สูตร "ต้นทุนบวก 50" กล่าวคือรัฐบาลสหรัฐยังคงออกค่าใช้จ่ายสำหรับกองทัพในต่างแดนเท่าเดิม แต่ต้องการให้รัฐบาลประเทศเจ้าภาพช่วยออกค่าใช้จ่ายรวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆเพิ่มเติม
รายงานดังกล่างสอดคล้องกับท่าที่ของนายจอห์น โบลตันที่ปรึกษาความมั่นคงประจำทำเนียบขวาที่เคยระบุในบันทึกว่าต้องการให้ประเทศพันธมิตรช่วยออกงบประมาณดูแลทหารสหรัฐที่ประจำในแต่ละประเทศ
ขณะที่ในหลายครั้งที่ผ่านมาปธน.ทรัมป์ได้ยืนกรานในเรื่องนี้มาโดยตลอด ล่าสุดกับการที่สหรัฐได้มีข้อตกลงเจรจากับรัฐบาลเกาหลีใต้ในการดูแลสถานะของกองทัพสหรัฐจำนวน 28,000 นายที่ประจำการอยู่ในเกาหลีใต้ โดยทั้งสองประเทศเห็นพ้องในการเพิ่มงบประมาณด้านกองทัพเป็น 924 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 เพิ่มจากปีก่อนที่ 830 ล้านดอลลาร์
เช่นเดียวกับที่หลายครั้งที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกร้องให้ชาติพันธมิตรนาโต้ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณของนาโต้ในลักษณะเท่าเทียมกันแบบแฟร์ๆ เนื่องจากปธน.ทรัมป์มองว่าสหรัฐต้องรับผิดชอบกับค่าใช้จ่ายของนาโต้อย่างไม่เป็นธรรม
อย่างไรก็ดี ในฐานทัพสหรัฐที่ประจำการอยู่ในบางประเทศอย่างที่เยอรมนีนั้น รัฐบาลเยอรมนีได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆของฐานทัพสหรัฐในระดับสูงอยู่แล้วที่ราว 28% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ตามข้อมูลจาก Rand Corporation ซึ่งหากรวมกับแนวคิดเรื่อง "ต้นทุนบวก 50" ไปด้วยแล้วจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณทางทหารสูงขึ้นอย่างเท่าตัว รวมถึงเกาหลีใต้ และญี่ปุ่นด้วย
ที่มา: โพสต์ทูเดย์ [Link]
# Sat 9 Mar 2019 : 11:42PM
เกิดอะไรขึ้นกับ “จัสติน ทรูโดว” นายกรัฐมนตรีแคนาดา?
ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งบนช่อง CNN ที่ดึงความสนใจของผู้คนก็คือ นายกหนุ่มรูปหล่อของแคนาดา กำลังเจอกับเผชิญกับเรื่องฉาวด้าน “จริยธรรม” ทางการเมือง จนอาจจะนำไปสู่การถอดถอน หรือ อิมพีชเม้นท์ ได้เลยทีเดียว
ถ้าเราจำกันได้ นายทรูโดวผู้นี้คือ “โกลเด้นบอย” ของแคนาดา เพราะเป็นนายกที่หนุ่มที่สุด รูปหล่อ บ้านรวย เรียกเสียงกรี๊ดจากคนรุ่นหนุ่มสาวที่เชื่อว่าเขาจะเป็นอนาคตที่สดใสของแคนาดา
ผมก็จึงขอจะสรุปย่อๆของเรื่องนี้ให้อ่านสั้นๆเพื่อที่เราจะได้ตามข่าวได้ทันกันนะครับ
ในแคนาดานั้นมีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านวิศวกรรมแห่งหนึ่งชื่อ “บริษัท เอสเอ็นซี-ลาวาลิน” (SNC - LavaIin) ซึ่งต่อไปขอเรียกสั้นๆว่า บ.ลาวาลิน ก็แล้วกันนะครับ
เมื่อ 8 ปีที่แล้ว บ.ลาวาลินนี้เข้าไปประมูลงานในประเทศลิเบีย และใช้เงินกว่า 1500 ล้านบาทในการ “ดำเนินการ” เพื่อให้ตัวเองชนะประมูล
พูดง่ายๆก็คือ จ่ายใต้โต๊ะและเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลลิเบีย นั่นเอง ซึ่งการกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมายแคนาดา
ปกติแล้วถ้าเป็นบริษัทเล็กๆย่อยๆ รัฐบาลแคนาดาก็จะเพียงเรียกเข้ามาตักเตือน ตีมือหนึ่งแปะ แล้วคาดโทษว่า “อ๊ะๆ…เราจับตาดูอยู่นะ ทีหลังอย่าทำอีกนะ”
แต่สำหรับกรณี บ.ลาวาลินนี้ อัยการสูงสุดแคนาดาซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงยุติธรรมเธอเห็นว่า เป็นบริษัทที่ใหญ่โต จะปล่อยผ่านไปก็ไม่ถูกต้อง จึงเริ่มดำเนินคดีและมีแนวโน้มสูงว่า บ.ลาวาลินไม่รอดแน่ๆ เพราะหลักฐานชัดเจน
ซึ่งถ้า บ.ลาวาลินถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง ก็จะถูกแบนจากการเข้าประมูลงานของรัฐบาลแคนาดาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
ตรงนี้เองครับที่นายทรูโดวเริ่มเข้ามาแทรกแซงอย่างเงียบๆ
กล่าวคือนายทรูโดวส่งคนเข้ามา “พูดคุย” กับอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ละเว้นการดำเนินคดี โดยอ้างภายหลังว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับ บ.ลาวาลินแล้วจะทำให้คนแคนาดาตกงานกว่า 9,000 คน
ซึ่งเรื่องคนตกงานนี้สื่อมวลชนแคนาดาเชื่อว่าเป็นแค่การอ้างลอยๆ
อัยการสูงสุดไม่เล่นตามทรูโดว และเห็นว่าเรื่องนี้นายทรูโดวไม่มีสิทธิเข้ามาแทรกแซงการทำงานของเธอซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย เธอจึงดำเนินคดีต่อบ.ลาวาลินต่อไป
ไม่นานนักอัยการสูงสุดก็ถูกนายทรูโดวย้ายลดเกรดลงไปเป็น รัฐมนตรีกระทรวงทหารผ่านศึก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่สำคัญมากนักในรัฐบาล และไม่นานเธอก็ยื่นใบลาออกจากคณะรัฐบาลเพราะรับไม่ได้
ประธานบอร์ดการคลังของรัฐบาลก็ยื่นใบลาออกตามด้วย ด้วยเหตุผลว่า “หมดความเชื่อมั่นในตัวนายทรูโดวแล้ว”
ณ จุดนี้เองที่เรื่องเริ่มถูกเปิดเผยออกมา เพราะ(อดีต)อัยการสูงสุดเริ่มออกมาให้ข่าวถึงรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น และยังบอกด้วยว่านายทรูโดวเรียกเธอไปคุยส่วนตัวเพื่อขอให้ปล่อยบ.ลาวาลินไปเสีย
สื่อมวลชนก็เริ่มติดตามเจาะข่าวถี่ยิบ ทวงถามคำตอบกันรายวันจากนายทรูโดว แต่นายทรูโดวก็ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ยอมรับว่าส่งคนเข้าไปคุยกับ(อดีต)อัยการสูงสุด หรือ ว่าตนเองทำอะไรผิด
ไม่นานนักที่ปรึกษาคนสำคัญของนายทรูโดวก็ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งๆที่เป็นเพื่อนสนิทเรียนหนังสือด้วยกันมาแต่เด็ก
เรื่องนี้จะยังไม่จบครับ เคสบ.ลาวาลินก็ยังอยู่ในขั้นตอนกฎหมาย คำถามสำคัญที่สื่อยิงตรงถามนายทรูโดวเป็นประจำก็คือ
1. ทรูโดวย้ายอัยการสูงสุดด้วยเหตุผลอันใด?
2. ที่ปรึกษาคนสำคัญลาออกเพราะอะไร?
3. แรงงานแคนาดา 9,000 คนนั้น มีจริงหรือเป็นข้ออ้าง หรือทรูโดวเบื้องหลังอะไรกับบ.ลาวาลินหรือเปล่า?
ตอนนี้กระแสในแคนาดาค่อนข้างจริงจัง สร้างความผิดหวังให้กับกองเชียร์นายทรูโดว ซึ่งกองเชียร์คนสำคัญคนหนึ่งก็ออกปากว่า “ถ้านี่คือเรื่องจริง เขาก็ไม่ใช่คนแบบที่เราคิด” (If this is true, then Justin is not the person that we thought he was)
ดูทรงแล้วนายทรูโดวไม่น่าจะรอด ตอนนี้เขามีทางเลือกน้อยมากคือ หนึ่ง…ลาออก กับ สอง…รีบประกาศเลือกตั้งใหม่
แต่จะทางไหนก็จบไม่สวยสำหรับอดีตโกลเด้นบอยของแคนาดาแน่นอน
ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งบนช่อง CNN ที่ดึงความสนใจของผู้คนก็คือ นายกหนุ่มรูปหล่อของแคนาดา กำลังเจอกับเผชิญกับเรื่องฉาวด้าน “จริยธรรม” ทางการเมือง จนอาจจะนำไปสู่การถอดถอน หรือ อิมพีชเม้นท์ ได้เลยทีเดียว
ถ้าเราจำกันได้ นายทรูโดวผู้นี้คือ “โกลเด้นบอย” ของแคนาดา เพราะเป็นนายกที่หนุ่มที่สุด รูปหล่อ บ้านรวย เรียกเสียงกรี๊ดจากคนรุ่นหนุ่มสาวที่เชื่อว่าเขาจะเป็นอนาคตที่สดใสของแคนาดา
ผมก็จึงขอจะสรุปย่อๆของเรื่องนี้ให้อ่านสั้นๆเพื่อที่เราจะได้ตามข่าวได้ทันกันนะครับ
ในแคนาดานั้นมีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านวิศวกรรมแห่งหนึ่งชื่อ “บริษัท เอสเอ็นซี-ลาวาลิน” (SNC - LavaIin) ซึ่งต่อไปขอเรียกสั้นๆว่า บ.ลาวาลิน ก็แล้วกันนะครับ
เมื่อ 8 ปีที่แล้ว บ.ลาวาลินนี้เข้าไปประมูลงานในประเทศลิเบีย และใช้เงินกว่า 1500 ล้านบาทในการ “ดำเนินการ” เพื่อให้ตัวเองชนะประมูล
พูดง่ายๆก็คือ จ่ายใต้โต๊ะและเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลลิเบีย นั่นเอง ซึ่งการกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมายแคนาดา
ปกติแล้วถ้าเป็นบริษัทเล็กๆย่อยๆ รัฐบาลแคนาดาก็จะเพียงเรียกเข้ามาตักเตือน ตีมือหนึ่งแปะ แล้วคาดโทษว่า “อ๊ะๆ…เราจับตาดูอยู่นะ ทีหลังอย่าทำอีกนะ”
แต่สำหรับกรณี บ.ลาวาลินนี้ อัยการสูงสุดแคนาดาซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงยุติธรรมเธอเห็นว่า เป็นบริษัทที่ใหญ่โต จะปล่อยผ่านไปก็ไม่ถูกต้อง จึงเริ่มดำเนินคดีและมีแนวโน้มสูงว่า บ.ลาวาลินไม่รอดแน่ๆ เพราะหลักฐานชัดเจน
ซึ่งถ้า บ.ลาวาลินถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง ก็จะถูกแบนจากการเข้าประมูลงานของรัฐบาลแคนาดาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
ตรงนี้เองครับที่นายทรูโดวเริ่มเข้ามาแทรกแซงอย่างเงียบๆ
กล่าวคือนายทรูโดวส่งคนเข้ามา “พูดคุย” กับอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ละเว้นการดำเนินคดี โดยอ้างภายหลังว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับ บ.ลาวาลินแล้วจะทำให้คนแคนาดาตกงานกว่า 9,000 คน
ซึ่งเรื่องคนตกงานนี้สื่อมวลชนแคนาดาเชื่อว่าเป็นแค่การอ้างลอยๆ
อัยการสูงสุดไม่เล่นตามทรูโดว และเห็นว่าเรื่องนี้นายทรูโดวไม่มีสิทธิเข้ามาแทรกแซงการทำงานของเธอซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย เธอจึงดำเนินคดีต่อบ.ลาวาลินต่อไป
ไม่นานนักอัยการสูงสุดก็ถูกนายทรูโดวย้ายลดเกรดลงไปเป็น รัฐมนตรีกระทรวงทหารผ่านศึก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่สำคัญมากนักในรัฐบาล และไม่นานเธอก็ยื่นใบลาออกจากคณะรัฐบาลเพราะรับไม่ได้
ประธานบอร์ดการคลังของรัฐบาลก็ยื่นใบลาออกตามด้วย ด้วยเหตุผลว่า “หมดความเชื่อมั่นในตัวนายทรูโดวแล้ว”
ณ จุดนี้เองที่เรื่องเริ่มถูกเปิดเผยออกมา เพราะ(อดีต)อัยการสูงสุดเริ่มออกมาให้ข่าวถึงรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น และยังบอกด้วยว่านายทรูโดวเรียกเธอไปคุยส่วนตัวเพื่อขอให้ปล่อยบ.ลาวาลินไปเสีย
สื่อมวลชนก็เริ่มติดตามเจาะข่าวถี่ยิบ ทวงถามคำตอบกันรายวันจากนายทรูโดว แต่นายทรูโดวก็ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ยอมรับว่าส่งคนเข้าไปคุยกับ(อดีต)อัยการสูงสุด หรือ ว่าตนเองทำอะไรผิด
ไม่นานนักที่ปรึกษาคนสำคัญของนายทรูโดวก็ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งๆที่เป็นเพื่อนสนิทเรียนหนังสือด้วยกันมาแต่เด็ก
เรื่องนี้จะยังไม่จบครับ เคสบ.ลาวาลินก็ยังอยู่ในขั้นตอนกฎหมาย คำถามสำคัญที่สื่อยิงตรงถามนายทรูโดวเป็นประจำก็คือ
1. ทรูโดวย้ายอัยการสูงสุดด้วยเหตุผลอันใด?
2. ที่ปรึกษาคนสำคัญลาออกเพราะอะไร?
3. แรงงานแคนาดา 9,000 คนนั้น มีจริงหรือเป็นข้ออ้าง หรือทรูโดวเบื้องหลังอะไรกับบ.ลาวาลินหรือเปล่า?
ตอนนี้กระแสในแคนาดาค่อนข้างจริงจัง สร้างความผิดหวังให้กับกองเชียร์นายทรูโดว ซึ่งกองเชียร์คนสำคัญคนหนึ่งก็ออกปากว่า “ถ้านี่คือเรื่องจริง เขาก็ไม่ใช่คนแบบที่เราคิด” (If this is true, then Justin is not the person that we thought he was)
ดูทรงแล้วนายทรูโดวไม่น่าจะรอด ตอนนี้เขามีทางเลือกน้อยมากคือ หนึ่ง…ลาออก กับ สอง…รีบประกาศเลือกตั้งใหม่
แต่จะทางไหนก็จบไม่สวยสำหรับอดีตโกลเด้นบอยของแคนาดาแน่นอน
Like : "MnemoniC", คนที่บังเอิญผ่านมา, Rajeedz
View all 1 comments >
# Tue 12 Mar 2019 : 10:14AM
# Mon 18 Mar 2019 : 7:07PM
รัฐอนุรักษ์นิยมก็ต้านไม่ไหว! หลายมลรัฐในสหรัฐ แห่ทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 35-100%
วุฒิสมาชิกของรัฐโอไฮโอ ทำญัตติปรับค่าแรงขั้นต่ำพรวดเดียว100% จาก 7.25$/ชั่วโมง เป็น 15$/ชั่วโมง โดยจะเริ่มทยอยปรับเป็น 12$/ชม.ในปี2020 และขึ้นปีละเหรียญ จนถึง15$ในปี2023
ญัตตินี้ถูกยื่นโดน สว.เสียงข้างน้อยของรัฐโอไฮโอจากพรรคเดโมแครต (9คนจากสว.ทั้งหมด33คน) โดยสว.เสียงข้างน้อย ให้เหตุผลการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนี้ว่า ทั้งเสื้อผ้า,อาหาร,ราคาสินค้าทุกอย่าง ปรับราคาขึ้นทุกปี แต่ค่าแรงขั้นต่ำผ่านมา12ปี เพิ่งปรับขึ้นไปเพียง 1.55$/ชม.
ญัตตินี้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยให้เหตุผลต่างๆนาๆ อย่างเช่น หวาดกลัวราคาสินค้าจะแพงขึ้น , ค่าเช่าบ้านอาจจะปรับตัวแพงเหมือนซานฟรานซิสโก , เจ้าของกิจการอาจจะปลดคนงาน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ความเหลื่อมล้ำของค่าแรงขั้นต่ำในแต่ละรัฐ ก็เหลื่อมล้ำมากขึ้นไปทุกที โดนมลรัฐที่เป็นเสรีนิยมอย่างรัฐแคลิฟอเนีย มีค่าแรงขั้นต่ำ 12$/ชม. และจะปรับขึ้นไป 15$/ชม.ในปี2022 หรือในรัฐDC.ก็มีค่าแรงขั้นต่ำถึง15$/ชม ในปี2020
ในขณะที่มลรัฐอนุรักษ์นิยมอย่าง เท็กซัส,ยูท่าห์,นอร์ธดาโกต้า,แคนซัส และอีกหลายรัฐที่ปกครองโดยพรรครีพับรีกัน มีค่าแรงขั้นต่ำเพียง7.25$/ชม. และยังไม่มีแผนจะปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอย่างใด
ค่าแรงที่เหลื่อมล้ำสูงมากนี้ ทำให้เกิดภาวะสมองไหลและแรงงานนิยมเข้าไปทำงานในรัฐที่ค่าแรงสูงกว่า เรื่องนี้มักจะถูกโวยจากพรรครีพับรีกันมาตลอด ว่าทำให้บริษัทใหญ่ๆนิยมไปเปิดในรัฐที่ค่าแรงสูง ซึ่งเป็นผลทำให้ในระยะหลังๆมลรัฐอนุรักษ์ก็ต้องยอมปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่าก้าวกระโดดตามไปด้วย อย่างเช่น รัฐอาร์คันซอที่ปรับค่าแรงขั้นต่ำจาก 8.5$เป็น 11$/ชั่วโมงในปี2021 หรืออย่างรัฐมิซซูรี่ ที่ยอมปรับจาก 7.85$เป็น 12$/ชม.ในปี2023
ในรัฐอนุรักษ์นิยมอื่นๆก็ยื่นญัตติขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเช่นกัน อย่างเช่น เวสต์เวอจิเนีย ปรับขึ้นค่าแรงจาก 8.75$เป็น 12$/ชมในปี2022 เคนตักกี้ขอปรับจาก 7.25$เป็น 15$/ชม.ในปี2026
จะเห็นได้ว่าค่าแรงขั้นต่ำสูงๆจะช่วยดึงดูดทั้งแรงงานทักษะสูงและต่ำ แห่กันเข้ามาทำงาน และทำให้กำลังซื้อในรัฐนั้นสูง ดึงดูดภาคธุรกิจแห่มาเปิดตาม รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น ส่วนรัฐที่ค่าแรงต่ำๆจะทำให้คนหนีไปหาค่าแรงที่สุงกว่า รัฐนั้นก็ได้เศรษฐกิจแบบกร่อยๆไปตามระเบียบ
วุฒิสมาชิกของรัฐโอไฮโอ ทำญัตติปรับค่าแรงขั้นต่ำพรวดเดียว100% จาก 7.25$/ชั่วโมง เป็น 15$/ชั่วโมง โดยจะเริ่มทยอยปรับเป็น 12$/ชม.ในปี2020 และขึ้นปีละเหรียญ จนถึง15$ในปี2023
ญัตตินี้ถูกยื่นโดน สว.เสียงข้างน้อยของรัฐโอไฮโอจากพรรคเดโมแครต (9คนจากสว.ทั้งหมด33คน) โดยสว.เสียงข้างน้อย ให้เหตุผลการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนี้ว่า ทั้งเสื้อผ้า,อาหาร,ราคาสินค้าทุกอย่าง ปรับราคาขึ้นทุกปี แต่ค่าแรงขั้นต่ำผ่านมา12ปี เพิ่งปรับขึ้นไปเพียง 1.55$/ชม.
ญัตตินี้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยให้เหตุผลต่างๆนาๆ อย่างเช่น หวาดกลัวราคาสินค้าจะแพงขึ้น , ค่าเช่าบ้านอาจจะปรับตัวแพงเหมือนซานฟรานซิสโก , เจ้าของกิจการอาจจะปลดคนงาน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ความเหลื่อมล้ำของค่าแรงขั้นต่ำในแต่ละรัฐ ก็เหลื่อมล้ำมากขึ้นไปทุกที โดนมลรัฐที่เป็นเสรีนิยมอย่างรัฐแคลิฟอเนีย มีค่าแรงขั้นต่ำ 12$/ชม. และจะปรับขึ้นไป 15$/ชม.ในปี2022 หรือในรัฐDC.ก็มีค่าแรงขั้นต่ำถึง15$/ชม ในปี2020
ในขณะที่มลรัฐอนุรักษ์นิยมอย่าง เท็กซัส,ยูท่าห์,นอร์ธดาโกต้า,แคนซัส และอีกหลายรัฐที่ปกครองโดยพรรครีพับรีกัน มีค่าแรงขั้นต่ำเพียง7.25$/ชม. และยังไม่มีแผนจะปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอย่างใด
ค่าแรงที่เหลื่อมล้ำสูงมากนี้ ทำให้เกิดภาวะสมองไหลและแรงงานนิยมเข้าไปทำงานในรัฐที่ค่าแรงสูงกว่า เรื่องนี้มักจะถูกโวยจากพรรครีพับรีกันมาตลอด ว่าทำให้บริษัทใหญ่ๆนิยมไปเปิดในรัฐที่ค่าแรงสูง ซึ่งเป็นผลทำให้ในระยะหลังๆมลรัฐอนุรักษ์ก็ต้องยอมปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่าก้าวกระโดดตามไปด้วย อย่างเช่น รัฐอาร์คันซอที่ปรับค่าแรงขั้นต่ำจาก 8.5$เป็น 11$/ชั่วโมงในปี2021 หรืออย่างรัฐมิซซูรี่ ที่ยอมปรับจาก 7.85$เป็น 12$/ชม.ในปี2023
ในรัฐอนุรักษ์นิยมอื่นๆก็ยื่นญัตติขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเช่นกัน อย่างเช่น เวสต์เวอจิเนีย ปรับขึ้นค่าแรงจาก 8.75$เป็น 12$/ชมในปี2022 เคนตักกี้ขอปรับจาก 7.25$เป็น 15$/ชม.ในปี2026
จะเห็นได้ว่าค่าแรงขั้นต่ำสูงๆจะช่วยดึงดูดทั้งแรงงานทักษะสูงและต่ำ แห่กันเข้ามาทำงาน และทำให้กำลังซื้อในรัฐนั้นสูง ดึงดูดภาคธุรกิจแห่มาเปิดตาม รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น ส่วนรัฐที่ค่าแรงต่ำๆจะทำให้คนหนีไปหาค่าแรงที่สุงกว่า รัฐนั้นก็ได้เศรษฐกิจแบบกร่อยๆไปตามระเบียบ
# Wed 3 Apr 2019 : 1:13PM
EU เตือน Brexit ไร้ข้อตกลงจะเกิดภาวะชะงักงันต่อเศรษฐกิจ,กระทบสภาพคล่อง
นายวอลดิส ดอมบรอฟสกี ประธานคณะกรรมาธิการฝ่ายบริการการเงินของสหภาพยุโรป (EU) กล่าวว่า หากอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง สิ่งนี้ก็จะทำให้เกิดภาวะชะงักงันต่อระบบเศรษฐกิจ และจะกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดการเงิน
นายดอมบรอฟสกีส่งสัญญาณเตือนดังกล่าว แม้ว่า EU ได้จัดเตรียมมาตรการฉุกเฉินหลายประการเพื่อรับมือกรณี Brexit ที่ไร้ข้อตกลง
"เราจะไม่สามารถขจัดผลกระทบทั้งหมดทางเศรษฐกิจ" นายดอมบรอฟสกีกล่าว พร้อมกับระบุว่า ขณะนี้มีความเสี่ยงอย่างมากที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก EU ในวันที่ 12 เม.ย.โดยไม่มีการทำข้อตกลง
นอกจากนี้ นายดอมบรอฟสกียังเตือนถึงผลกระทบทางด้านการเงินและเศรษฐกิจที่จะมีต่อ EU และอังกฤษจากกรณี Brexit ที่ไร้ข้อตกลง โดยจะก่อให้เกิดภาวะชะงักงัน และกระทบต่อสภาพคล่องในตลาด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]
นายวอลดิส ดอมบรอฟสกี ประธานคณะกรรมาธิการฝ่ายบริการการเงินของสหภาพยุโรป (EU) กล่าวว่า หากอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง สิ่งนี้ก็จะทำให้เกิดภาวะชะงักงันต่อระบบเศรษฐกิจ และจะกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดการเงิน
นายดอมบรอฟสกีส่งสัญญาณเตือนดังกล่าว แม้ว่า EU ได้จัดเตรียมมาตรการฉุกเฉินหลายประการเพื่อรับมือกรณี Brexit ที่ไร้ข้อตกลง
"เราจะไม่สามารถขจัดผลกระทบทั้งหมดทางเศรษฐกิจ" นายดอมบรอฟสกีกล่าว พร้อมกับระบุว่า ขณะนี้มีความเสี่ยงอย่างมากที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก EU ในวันที่ 12 เม.ย.โดยไม่มีการทำข้อตกลง
นอกจากนี้ นายดอมบรอฟสกียังเตือนถึงผลกระทบทางด้านการเงินและเศรษฐกิจที่จะมีต่อ EU และอังกฤษจากกรณี Brexit ที่ไร้ข้อตกลง โดยจะก่อให้เกิดภาวะชะงักงัน และกระทบต่อสภาพคล่องในตลาด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]
# Wed 3 Apr 2019 : 6:09PM
แนวโน้มตลาดหุ้นปรับตัวต่อ คลายกังวลปัจจัยนอก-ราคาน้ำมันพุ่ง
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี คาดแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (2 เม.ย.) ดัชนีปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,650 – 1,655 จุด เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หลังตัวเลข PMI ภาคการผลิต เดือน มี.ค. ของทั้งสหรัฐฯ และจีนปรับตัวขึ้น (สหรัฐฯ 55.3 และ จีน 50.8)
รวมถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน เม.ย. นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือน เหนือ 61 US/Barrel ตอบรับสหรัฐฯ คว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านและเวเนซุเอลาจะเป็นแรงหนุนต่อกลุ่มพลังงานอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ดัชนีจะมีแรงขายสลับให้ดัชนีอ่อนตัวลงจากความไม่แน่นอนของภาวะการเมืองภายในประเทศ
ตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ SET Index ดีดตัวขึ้น +5.99 จุด (+0.37%) ปิดที่ 1,644 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.4 หมื่นล้านบาท จากปัจจัยบวก MSCI อนุมัติให้รวม NVDR ไว้ในการคำนวณน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย ประกอบกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในสัปดาห์ที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปมาก ส่งผลให้มีแรงซื้อในกลุ่ม Fin, Tourism และ ICT หนุนให้ดัชนีดีดตัวขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเล็กน้อย 194 ล้านบาท แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,622 ล้านบาท และ Net Long TFEX 5,806 สัญญา
ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ
# Wed 3 Apr 2019 : 6:11PM
ดาราตลกคะแนนนำศึกเลือกตั้ง ปธน.ยูเครน
.
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครนรอบแรก ที่นับคะแนนไปแล้วกว่าร้อยละ 90 พบว่า นายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี้ นักแสดงตลกชาวยูเครน มีคะแนนเป็นอันดับ 1 นำหน้านายเปโตร โปโรเชนโก้ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน อยู่ราวร้อยละ 14
.
ผลที่ออกมาหักปากกาเซียนทุกสำนัก และทำให้นายเซเลนสกี้ จะต้องชิงดำกับประธานาธิบดีโปโรเชนโก้ ในการเลือกตั้งรอบ 2 ที่มีกำหนดจัดขึ้นวันที่ 21 เมษายนนี้
.
นายเซเลนสกี้ นักแสดงโทรทัศน์ วัย 41 ปี ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ได้รับคะแนนมากสุดในบรรดาผู้สมัครทั้งหมด 39 คน ที่อาสามาทำงานท่ามกลางปัญหาคอร์รัปชั่นและการเผชิญหน้ากับรัสเซีย ซึ่งผนวกดินแดนไครเมียของยูเครน เมื่อปี 2557
.
ผลที่ออกมาสะท้อนถึงความต้องการของประชาชนที่อยากได้ผู้นำหน้าใหม่ ซึ่งไม่มีความเชื่อมโยงกับชนชั้นนำทางการเมืองที่มักพัวพันกับการทุจริต และสามารถนำเสนอแนวทางใหม่ๆ ที่จะยุติความขัดแย้งกับรัสเซียได้
.
แต่ความท้าทายในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบ 2 คือ นายเซเลนสกี้จะต้องสร้างความเชื่อมั่นต่อบรรดาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งว่า เขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำประเทศในยามที่เผชิญกับภาวะสงครามนับตั้งแต่การประท้วงของกลุ่มสนับสนุนรัสเซียและการสูญเสียดินแดนไครเมีย
.
ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้งยูเครน แถลงวานนี้ว่า ไม่พบการกระทำผิดเลือกตั้งอย่างเป็นระบบ แม้จะมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการซื้อเสียงอย่างแพร่หลาย แต่จะตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆ
.
ตำรวจระบุว่า ได้รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งกว่า 2,100 เรื่อง เฉพาะในวันเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (31 มี.ค. 62)
.
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครนรอบแรก ที่นับคะแนนไปแล้วกว่าร้อยละ 90 พบว่า นายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี้ นักแสดงตลกชาวยูเครน มีคะแนนเป็นอันดับ 1 นำหน้านายเปโตร โปโรเชนโก้ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน อยู่ราวร้อยละ 14
.
ผลที่ออกมาหักปากกาเซียนทุกสำนัก และทำให้นายเซเลนสกี้ จะต้องชิงดำกับประธานาธิบดีโปโรเชนโก้ ในการเลือกตั้งรอบ 2 ที่มีกำหนดจัดขึ้นวันที่ 21 เมษายนนี้
.
นายเซเลนสกี้ นักแสดงโทรทัศน์ วัย 41 ปี ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ได้รับคะแนนมากสุดในบรรดาผู้สมัครทั้งหมด 39 คน ที่อาสามาทำงานท่ามกลางปัญหาคอร์รัปชั่นและการเผชิญหน้ากับรัสเซีย ซึ่งผนวกดินแดนไครเมียของยูเครน เมื่อปี 2557
.
ผลที่ออกมาสะท้อนถึงความต้องการของประชาชนที่อยากได้ผู้นำหน้าใหม่ ซึ่งไม่มีความเชื่อมโยงกับชนชั้นนำทางการเมืองที่มักพัวพันกับการทุจริต และสามารถนำเสนอแนวทางใหม่ๆ ที่จะยุติความขัดแย้งกับรัสเซียได้
.
แต่ความท้าทายในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบ 2 คือ นายเซเลนสกี้จะต้องสร้างความเชื่อมั่นต่อบรรดาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งว่า เขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำประเทศในยามที่เผชิญกับภาวะสงครามนับตั้งแต่การประท้วงของกลุ่มสนับสนุนรัสเซียและการสูญเสียดินแดนไครเมีย
.
ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้งยูเครน แถลงวานนี้ว่า ไม่พบการกระทำผิดเลือกตั้งอย่างเป็นระบบ แม้จะมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการซื้อเสียงอย่างแพร่หลาย แต่จะตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆ
.
ตำรวจระบุว่า ได้รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งกว่า 2,100 เรื่อง เฉพาะในวันเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (31 มี.ค. 62)
<<
<
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
>
>>
Reply
Vote
Popular Thread
2 online users
Logged In :
Logged In :
member
Since 9/4/2007
(9585 post)