This thread is locked
สนทนาประสาการเมือง ��าค VII
<<
<
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
>
>>
Reply
Vote
# Thu 18 Jan 2018 : 5:25PM
พอเผยไต๋ว่าจะลงเล่นการเมืองนี่นโยบายประชานิยมมารัวๆเลย ขึ้นค่าแรงนี่เตรียมเงินเฟ้อกันได้เลย
ที่ลำบากนี่ชนชั้นกลางกับนายจ้าง สงสัยโรงงานได้ย้ายฐานการผลิตหนีกันหมด
ที่ลำบากนี่ชนชั้นกลางกับนายจ้าง สงสัยโรงงานได้ย้ายฐานการผลิตหนีกันหมด
View all 2 comments >
Thu 18 Jan 2018 : 9:24PM
"ลดภาษี-ลดจ่ายประกันสังคม" เยียวยาผู้ประกอบการหลังขึ้นค่าแรง
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ย้ำว่าการปรับค่าแรงขั้นต่ำปีนี้ พิจารณาอย่างรอบคอบบนพื้นฐานทางเศรษฐกิจและความเหมาะสม และเพื่อเป็นการลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ทางกระทรวงแรงงานได้เสนอมาตรการเยียวยา ทั้งมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ 1.5 เท่าจากค่าจ้างแรงงานทั้งหมดในบริษัท และลดการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมลง 1% ระยะเวลา 12 เดือน
ทั้งนี้ จะมีการเสนออัตราการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 และข้อเสนอเยียวยาผู้ประกอบการต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ย้ำว่าการปรับค่าแรงขั้นต่ำปีนี้ พิจารณาอย่างรอบคอบบนพื้นฐานทางเศรษฐกิจและความเหมาะสม และเพื่อเป็นการลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ทางกระทรวงแรงงานได้เสนอมาตรการเยียวยา ทั้งมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ 1.5 เท่าจากค่าจ้างแรงงานทั้งหมดในบริษัท และลดการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมลง 1% ระยะเวลา 12 เดือน
ทั้งนี้ จะมีการเสนออัตราการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 และข้อเสนอเยียวยาผู้ประกอบการต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า
Fri 19 Jan 2018 : 9:49AM
แล้วชนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือนนี่เยียวยายังไงครับ เงินเฟ้อนี่โดนกันถ้วนหน้ามีนโยบายเยียวยายังไงมั้ง สรุปชนชั้นกลางซวยสุด
ได้แต่หวังว่าจะมีนโยบายควบคุมราคาสินค้าที่บังคับปฏิบัติอย่างเคร่งครัดได้ออกมามารองรับด้วยนะ
ได้แต่หวังว่าจะมีนโยบายควบคุมราคาสินค้าที่บังคับปฏิบัติอย่างเคร่งครัดได้ออกมามารองรับด้วยนะ
[Edited 1 times Public_Enemy_ - Last Edit 2018-01-19 09:53:02]
# Thu 18 Jan 2018 : 8:36PM
ค่าแรงนี่ขึ้นในระดับปกตินะ ไม่ได้แบบก้าวกระโดดร้อยกว่าไปเป็นวันละสามร้อย ก่อนหน้านี้ค่าแรงเคยขึ้นไปแล้ว 10 บาท ้ป็น 310 บาท (บางจว.ก็เป็น 305 บาท)
คือคราวนี้มีให้จว.ที่คราวที่แล้วไม่ได้เพิ่มให้ด้วย คราวที่แล้วที่ไม่เพิ่มก็มี 8จว. สิงห์บุรี ชุมพร นครศรีธรรมราช ตรัง ระนอง นราธิวาส ปัตตานี ยะลา
คราวนี้ก็เลยปรับเพิ่มเป็น 308 บาท ให้ 3 จว. คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ส่วนพวก สิงห์บุรี ตรัง ระนอง ชุมพร นครศรีธรรมราช อยู่ในกลุ่มที่ปรับขึ้นให้เป็น 310 บาท
ถ้าดูนโยบายของรบ. แน่นอนมันก็ประชานิยมแหละ แต่อันนี้หลายคนเห็นด้วย คือวันก่อนเห็น ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ พูดเรื่องรบ.เห็นชอบอนุมัติงบกลาง 1.5 แสนล้าน (งบเพิ่มเติมของปี 61 คนละอันกับงบปี 62 ที่ว่า 3 ล้านล้านที่กำลังทำเรื่องกันอยู่นะ)
คือรบ.นี้อัดเม็ดเงินลงไปให้ปชช.เยอะมาก งบเพิ่มเติมก็เอาไปใส่ภาคเกษตร และก็พัฒนาเศรษบกิจระดับฐานราก ก็คืออัดเงินให้สวัสดิการคนจนเพิ่ม 3 หมื่นล้าน และก็มีพัฒนาอาชีพให้ผู้มีรายได้น้อย ให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงเงินทุน ฯลฯ
คือดูแล้วที่อัดเงินลงไปมากมายนี่สมคิดกะจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นจีดีพีจริงๆ และก้กระตุ้นการใช้จ่ายของคนในประเทศด้วย ก็คนบ่นกันว่าค้าขายไม่ดี คนไม่ยอมใช้เงินกัน ไอ้ที่เพิ่มงบกลาง +ขึ้นค่าแรง ส่วนนึงก็น่าจะมาจากเรื่องนี้แหละ
คือคราวนี้มีให้จว.ที่คราวที่แล้วไม่ได้เพิ่มให้ด้วย คราวที่แล้วที่ไม่เพิ่มก็มี 8จว. สิงห์บุรี ชุมพร นครศรีธรรมราช ตรัง ระนอง นราธิวาส ปัตตานี ยะลา
คราวนี้ก็เลยปรับเพิ่มเป็น 308 บาท ให้ 3 จว. คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ส่วนพวก สิงห์บุรี ตรัง ระนอง ชุมพร นครศรีธรรมราช อยู่ในกลุ่มที่ปรับขึ้นให้เป็น 310 บาท
ถ้าดูนโยบายของรบ. แน่นอนมันก็ประชานิยมแหละ แต่อันนี้หลายคนเห็นด้วย คือวันก่อนเห็น ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ พูดเรื่องรบ.เห็นชอบอนุมัติงบกลาง 1.5 แสนล้าน (งบเพิ่มเติมของปี 61 คนละอันกับงบปี 62 ที่ว่า 3 ล้านล้านที่กำลังทำเรื่องกันอยู่นะ)
คือรบ.นี้อัดเม็ดเงินลงไปให้ปชช.เยอะมาก งบเพิ่มเติมก็เอาไปใส่ภาคเกษตร และก็พัฒนาเศรษบกิจระดับฐานราก ก็คืออัดเงินให้สวัสดิการคนจนเพิ่ม 3 หมื่นล้าน และก็มีพัฒนาอาชีพให้ผู้มีรายได้น้อย ให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงเงินทุน ฯลฯ
คือดูแล้วที่อัดเงินลงไปมากมายนี่สมคิดกะจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นจีดีพีจริงๆ และก้กระตุ้นการใช้จ่ายของคนในประเทศด้วย ก็คนบ่นกันว่าค้าขายไม่ดี คนไม่ยอมใช้เงินกัน ไอ้ที่เพิ่มงบกลาง +ขึ้นค่าแรง ส่วนนึงก็น่าจะมาจากเรื่องนี้แหละ
# Thu 18 Jan 2018 : 9:04PM
ที่น่าจะเป็นปัญหา ถ้าถึงเวลาก็จะเข้าลูปเดิม น่าจะเป็นเรื่องแรงงานต่างด้าว ก็จะยังคาราคาซังต่อไปเพราะมันไม่มีใครทำได้หรอก ต่อให้รบ.จี้ยังไง แล้วไม่ต้องพูดถึงพวกที่มาใหม่นะ พวกที่อยู่เก่ามีบัตรชมพูกันนี่นายจ้างก็ปวดหัวแล้ว
เพราะบักห่านทรัมป์ตัวเดียว กะอีแค่ไทยได้ดุลย์การค้าสหรัฐ เล่นซะวุ่นวายกันไปหมด
เพราะบักห่านทรัมป์ตัวเดียว กะอีแค่ไทยได้ดุลย์การค้าสหรัฐ เล่นซะวุ่นวายกันไปหมด
View all 1 comments >
Fri 19 Jan 2018 : 6:52AM
จริงๆ ถ้ามีคนไทยทำงานได้อดทนสัก 80% ของพวกพม่า นายจ้างเค้าก้ไม่อยากจ้างพม่ากันครับ คุณภาพงานมันเทียบกันไม่ได้เลย
ทุกวันนี้หาคนไทย ทำงาน ระดับล่างพวกการผลิต ยากมากๆ โดยเฉพาะแรงงานชาย
พม่าทุกวันนี้ก็ร้ายกาจพอสมควร บางคนผมจ้างเกินขั้นต่ำไป 30-40 บาท แล้วมัันก็ยังเรียกร้องปรับขึ้นกันอีก 5556
แถมพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง บางคนอยู่มา 5-6 รู้งาน ขีี้เกียจอยากได้เงินเยอะๆ
ค่าแรงแพงมากๆ สุดท้ายถ้ามี ประเทศเพื่อนบ้านถูก คนงานผมเกิน 500 คน ผู้ประกอบการเค้าก็ย้ายฐานเหมือนกัน
ทุกวันนี้หาคนไทย ทำงาน ระดับล่างพวกการผลิต ยากมากๆ โดยเฉพาะแรงงานชาย
พม่าทุกวันนี้ก็ร้ายกาจพอสมควร บางคนผมจ้างเกินขั้นต่ำไป 30-40 บาท แล้วมัันก็ยังเรียกร้องปรับขึ้นกันอีก 5556
แถมพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง บางคนอยู่มา 5-6 รู้งาน ขีี้เกียจอยากได้เงินเยอะๆ
ค่าแรงแพงมากๆ สุดท้ายถ้ามี ประเทศเพื่อนบ้านถูก คนงานผมเกิน 500 คน ผู้ประกอบการเค้าก็ย้ายฐานเหมือนกัน
# Thu 18 Jan 2018 : 10:32PM
จริง ๆ มันคือขึ้นร้อยละ ๗ ก็ไม่น่าเกลียดนะถ้าว่ากันตามตัวเลข เพราะค่าแรงขั้นต่ำมันขึ้น ๓ ปี ๕ ปีทีอยู่แล้ว ก็ว่าไปตามเงินเฟ้อ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ตอนขึ้นเป็น ๓๐๐ ทั่วประเทศ บางจังหวัดขึ้นเกินร้อยละ ๑๐๐ ขั้นต่ำ ๆ อย่าง กทม. และภูเก็ตก็เกินร้อยละ ๑๐ ผลพวงมันยังกระทบไม่หายเลย ผู้ประกอบการหลาย ๆ เจ้าก็ยังเซอยู่ด้วยซ้ำ
ที่แน่ ๆ แรงงานต่างด้าวเข้ามามากขึ้น แรงงานไทยตกงานมากขึ้น ของแพงขึ้น และอาจจะมีกิจการอีกหลาย ๆ เจ้าเจ๊งหรือย้ายฐานไปชัวร์
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ตอนขึ้นเป็น ๓๐๐ ทั่วประเทศ บางจังหวัดขึ้นเกินร้อยละ ๑๐๐ ขั้นต่ำ ๆ อย่าง กทม. และภูเก็ตก็เกินร้อยละ ๑๐ ผลพวงมันยังกระทบไม่หายเลย ผู้ประกอบการหลาย ๆ เจ้าก็ยังเซอยู่ด้วยซ้ำ
ที่แน่ ๆ แรงงานต่างด้าวเข้ามามากขึ้น แรงงานไทยตกงานมากขึ้น ของแพงขึ้น และอาจจะมีกิจการอีกหลาย ๆ เจ้าเจ๊งหรือย้ายฐานไปชัวร์
# Fri 19 Jan 2018 : 9:05AM
จะบอกมุมมองของคนที่ใกล้ชิดชนชั้นแรงงานรับค่าแรงขั้นต่ำให้ฟังนะครับ
ค่าจ้างเท่าไหร่ก็ไม่พอแดรกหรอกครับ ให้500,1,000/วันก็ยังไม่พอแดรก เพราะพฤติกรรมเผาเงินพวกนี้เกินเยียวยา
เติมเงินโทรศัพท์แบบน้อยๆ 10+2,20+2 ,50+3 ,100 ไม่บวก คนที่คิดเป็นหน่อยจะเติม 100 แต่คนแถวผมเติมทีละ 10-20 เยอะมาก ทำอะไรโดนบวก 10-20% เขาไม่ได้คิด
ซื้อของก็เลือกหน่วยเล็กสุดแพงสุด สบู่,ยาสีฟัน,ยาสระผม 20-บาทจะเป็นของขายดีสุด เมื่อก่อนถ้ามียาสระผมแบบซอง 2-3บ. คือจะขายดีมาก
เหล้า,บุหรี่มันมีหน่วยเป็นซองเป็นขวด ก็ยังจะให้เขาย่อยเป็นมวน ,เป็นกั้ก ตย. บุหรี่ SMS ซองละ 60แต่พอแบ่งมวนคิดมวนละ 4 ซองนึงยี่สิบมวน
ขายซอง 60: ขายมวน 80 กำไรเพิ่มขึ้น 20 บาท
20/60 *100= กำไรเพิ่ม 33%
เหล้ากั้ก เหล้าขาว 100 /ขวด แบ่งกั้กสี่ขวด 30/กั้ก
ได้ 120บาท
ขายขวด 100: ขายกั้ก 120 กำไร 20
20/100 *100 =กำไรเพิ่ม 20%
แล้วของบางอย่างก็ซื้อแพงแบบไม่ควรชอบมากในการเอาเครดิตไปซื้อแล้วผ่อนขั้นต่ำ แต่ไม่เคยถามว่าถ้าจ่ายแต่ขั้นต่ำ กว่าจะหมดหนี้ต้องจ่ายกี่เดือน/รวมเป็นเงินเท่าไหร่ ,คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของเงินต้น
ทำนองเดียวกับพวกเห็นแต่ประโยชน์ตรงหน้า แต่ลืมว่าต้องลำบากทีหลัง ใช้เงินเหมือนคนอ้วนที่บอกกินก่อนเบิร์นทีหลังนั่นแหล่ะ
เดี๋ยวมาเติมให้ต่อ
คร่าวๆคือ คิดประหยัดไม่เป็น ชอบเรื่องให้โดนดอกเบี้ย บวกค่าบริการ ชอบเป็นกลุ่มที่จะเสียเปรียบในเรื่องการเงินทุกครั้ง
สมมุติว่าเป็นเกมส์โชว์ให้คนเดินไปอยู่ในโซน A:B คนกินค่าแรงขั้นต่ำจะเดินไปโซนเสียเปรียบตลอด
ลูกหนี้: เจ้าหนี้
คนใช้บริการ: คนให้บริการ
คนพนัน: เจ้ามือ
คนโดนหลอก:คนหลอก
คนซื้อน้อยๆแต่แพง:คนซื้อเยอะเวลาลดราคา
คนใช้อารมณ์:คนใช้เหตุผล
คนที่คิดว่าเดิมๆก็ดีแล้ว:คนที่พัฒนาตัวเองตลอด
อีแบบนี้ให้ได้ค่าแรงวันละพัน มันก็ยังบ่นว่าไม่พอกินอยู่ดี
-----ถ้าคิดถึงอนาคตลูกหลานจริงๆ คงต้องปฏิรูปการศึกษาให้ ลูกหลานมันอยู่เป็น ใช้เงินเป็นก่อน แล้วค่อยว่ากันเรื่องอื่นๆ แต่จากคิดเห็นมา 20-30 ปีผมว่าแนวโน้มคนรุ่นใหม่แย่กว่ารุ่นเก่าเยอะครับ คนรุ่นเก่าถ้าเขาไม่เข้าใจเขาจะไม่แตะ แต่คนรุ่นใหม่ชอบเฮตามกันไป พอสุดทางคือโดนเขาหลอกก็ยังไม่รู้ตัว
ตลกมันเล่นกันว่า คนสอน"ลำบากวันนี้สบายวันหน้า " แต่อีกคนตอบ "ผมไม่รู้วันหน้าหรอก แต่ถ้าผมขี้เกียจวันนี้ ผมสบายวันนี้"
ค่าจ้างเท่าไหร่ก็ไม่พอแดรกหรอกครับ ให้500,1,000/วันก็ยังไม่พอแดรก เพราะพฤติกรรมเผาเงินพวกนี้เกินเยียวยา
เติมเงินโทรศัพท์แบบน้อยๆ 10+2,20+2 ,50+3 ,100 ไม่บวก คนที่คิดเป็นหน่อยจะเติม 100 แต่คนแถวผมเติมทีละ 10-20 เยอะมาก ทำอะไรโดนบวก 10-20% เขาไม่ได้คิด
ซื้อของก็เลือกหน่วยเล็กสุดแพงสุด สบู่,ยาสีฟัน,ยาสระผม 20-บาทจะเป็นของขายดีสุด เมื่อก่อนถ้ามียาสระผมแบบซอง 2-3บ. คือจะขายดีมาก
เหล้า,บุหรี่มันมีหน่วยเป็นซองเป็นขวด ก็ยังจะให้เขาย่อยเป็นมวน ,เป็นกั้ก ตย. บุหรี่ SMS ซองละ 60แต่พอแบ่งมวนคิดมวนละ 4 ซองนึงยี่สิบมวน
ขายซอง 60: ขายมวน 80 กำไรเพิ่มขึ้น 20 บาท
20/60 *100= กำไรเพิ่ม 33%
เหล้ากั้ก เหล้าขาว 100 /ขวด แบ่งกั้กสี่ขวด 30/กั้ก
ได้ 120บาท
ขายขวด 100: ขายกั้ก 120 กำไร 20
20/100 *100 =กำไรเพิ่ม 20%
แล้วของบางอย่างก็ซื้อแพงแบบไม่ควรชอบมากในการเอาเครดิตไปซื้อแล้วผ่อนขั้นต่ำ แต่ไม่เคยถามว่าถ้าจ่ายแต่ขั้นต่ำ กว่าจะหมดหนี้ต้องจ่ายกี่เดือน/รวมเป็นเงินเท่าไหร่ ,คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของเงินต้น
ทำนองเดียวกับพวกเห็นแต่ประโยชน์ตรงหน้า แต่ลืมว่าต้องลำบากทีหลัง ใช้เงินเหมือนคนอ้วนที่บอกกินก่อนเบิร์นทีหลังนั่นแหล่ะ
เดี๋ยวมาเติมให้ต่อ
คร่าวๆคือ คิดประหยัดไม่เป็น ชอบเรื่องให้โดนดอกเบี้ย บวกค่าบริการ ชอบเป็นกลุ่มที่จะเสียเปรียบในเรื่องการเงินทุกครั้ง
สมมุติว่าเป็นเกมส์โชว์ให้คนเดินไปอยู่ในโซน A:B คนกินค่าแรงขั้นต่ำจะเดินไปโซนเสียเปรียบตลอด
ลูกหนี้: เจ้าหนี้
คนใช้บริการ: คนให้บริการ
คนพนัน: เจ้ามือ
คนโดนหลอก:คนหลอก
คนซื้อน้อยๆแต่แพง:คนซื้อเยอะเวลาลดราคา
คนใช้อารมณ์:คนใช้เหตุผล
คนที่คิดว่าเดิมๆก็ดีแล้ว:คนที่พัฒนาตัวเองตลอด
อีแบบนี้ให้ได้ค่าแรงวันละพัน มันก็ยังบ่นว่าไม่พอกินอยู่ดี
-----ถ้าคิดถึงอนาคตลูกหลานจริงๆ คงต้องปฏิรูปการศึกษาให้ ลูกหลานมันอยู่เป็น ใช้เงินเป็นก่อน แล้วค่อยว่ากันเรื่องอื่นๆ แต่จากคิดเห็นมา 20-30 ปีผมว่าแนวโน้มคนรุ่นใหม่แย่กว่ารุ่นเก่าเยอะครับ คนรุ่นเก่าถ้าเขาไม่เข้าใจเขาจะไม่แตะ แต่คนรุ่นใหม่ชอบเฮตามกันไป พอสุดทางคือโดนเขาหลอกก็ยังไม่รู้ตัว
ตลกมันเล่นกันว่า คนสอน"ลำบากวันนี้สบายวันหน้า " แต่อีกคนตอบ "ผมไม่รู้วันหน้าหรอก แต่ถ้าผมขี้เกียจวันนี้ ผมสบายวันนี้"
Like : Bergkamp, Exodist, Jobjab, benz_butz, npanda, marcust, เซ็งเป็ดเห็ดโคน, tarna, Hadrain, welzer
[Edited 3 times Godzeus - Last Edit 2018-01-19 11:08:03]
View all 13 comments >
Fri 19 Jan 2018 : 10:52AM
จริงมาก
คนพวกนี้แม่งมีแนวคิดแปลกๆ คือ มีเครดิตต้องใช้ ไม่งั้นถือว่านอนหลับทับสิทธิ์
มีเครดิตจะกู้ก็ไปกู้โดยไม่ได้มีโครงการว่าจะทำอะไร กู้มาใช้เล่นๆ ผ่อนขั้นต่ำไป
พี่ที่ Office คนนึงทำแบบนี้จนหมุนไม่ทัน หนี้เน่าจนติด NCB เกือบโดนแบงค์ฟ้องร้องดำเนินคดี
ต้องไปขับมอไซรับจ้างตอนเช้าหารายได้เสริมมาจ่ายหนี้ เงินเดือนออกแต่ละเดือนโดนหักแทบเกลี้ยง
ดิ้นรนจนจ่ายหมด หลุด NCB ทำบัตรเครดิตได้ เฮียแกก็จัดทันที ได้วงเงินมา 30000
บัตรมาส่งปุ๊ป ตอนเย็นพาพรรคพวกไปเลี้ยงฉลองหลุดบูโร วงเงิน 30000 เต็มในวันเดียว ตอนนี้จ่ายขั้นต่ำอยู่
เห็นแววจะวนมาลูปเดิมกลายๆละ
คนพวกนี้แม่งมีแนวคิดแปลกๆ คือ มีเครดิตต้องใช้ ไม่งั้นถือว่านอนหลับทับสิทธิ์
มีเครดิตจะกู้ก็ไปกู้โดยไม่ได้มีโครงการว่าจะทำอะไร กู้มาใช้เล่นๆ ผ่อนขั้นต่ำไป
พี่ที่ Office คนนึงทำแบบนี้จนหมุนไม่ทัน หนี้เน่าจนติด NCB เกือบโดนแบงค์ฟ้องร้องดำเนินคดี
ต้องไปขับมอไซรับจ้างตอนเช้าหารายได้เสริมมาจ่ายหนี้ เงินเดือนออกแต่ละเดือนโดนหักแทบเกลี้ยง
ดิ้นรนจนจ่ายหมด หลุด NCB ทำบัตรเครดิตได้ เฮียแกก็จัดทันที ได้วงเงินมา 30000
บัตรมาส่งปุ๊ป ตอนเย็นพาพรรคพวกไปเลี้ยงฉลองหลุดบูโร วงเงิน 30000 เต็มในวันเดียว ตอนนี้จ่ายขั้นต่ำอยู่
เห็นแววจะวนมาลูปเดิมกลายๆละ
Fri 19 Jan 2018 : 11:39AM
ไม่น่าจะถึงขั้นปฏิรูปการศึกษานะครับ เรื่องวินัยการใช้เงินมันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและการเลี้ยงดูในครอบครัวมากกว่าจะให้สอนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
แค่ทำเป็นแคมเปญโฆษณาแสดงตัวอย่างว่าใช้เงินโง่ๆแล้วชีวิตจะจบเห่ยังไงคิดเพลงประกอบมุขตลกๆให้เป็นไวรัลได้ก็น่าจะพอแล้ว
แค่ทำเป็นแคมเปญโฆษณาแสดงตัวอย่างว่าใช้เงินโง่ๆแล้วชีวิตจะจบเห่ยังไงคิดเพลงประกอบมุขตลกๆให้เป็นไวรัลได้ก็น่าจะพอแล้ว
Fri 19 Jan 2018 : 1:48PM
ลูกน้องผมมีกี่คนๆ เป็นแบบนี้หมดสอนจนขี้เกียจสอนและ
สอนมากก็มีปัญหาอีก เมื่อก่อนมีปัญหาเรื่องเบิกเงินเยอะมาก ทุกวันนี้จำกัดเบิกได้เดือนล่ะครับ ครั้งนึงไม่เกินค่าแรง=จำนวนที่มาทำงาน
สอนมากก็มีปัญหาอีก เมื่อก่อนมีปัญหาเรื่องเบิกเงินเยอะมาก ทุกวันนี้จำกัดเบิกได้เดือนล่ะครับ ครั้งนึงไม่เกินค่าแรง=จำนวนที่มาทำงาน
Fri 19 Jan 2018 : 3:12PM
ร้องให้หนักมาก แม่ตัวเองเป็นแบบนั้นเลย บอกยังไงๆแกก็ไม่เปลี่ยน รถเอาไปเข้าไฟแนซ์ แสนสอง ได้เงิน สดแปดหมื่น
แต่ต้องใช้หนี้ แสนสอง+ดอกเบี้ย สรุป เกือบสองแสน แต่ได้เงินสดแค่แปดหมื่น ส่งหมดเอาเข้าใหม่ คนจ่ายก็ผมเองนี้แหละ รถมอไซด เข้าไปได้ หมื่นสอง แต่ได้เงินสดแค่แปดพันแกก็เอา บอกเอามาหมุ่นก่อน แล้วเราก็ส่งอีกให้อีก เกือบสองหมื่น พอเงินไม่พอส่ง ก็ไปกู้ร้อยละสิบยี่สิบมาผ่อนไฟแนซ์ไปก่อน ส่วนตัวผมเองไม่หนี้อะไรเลยแต่เงินแทบไม่พอใช้แตะละเดือนเพราะต้องมาตามจ่ายดอกที่ไม่มีวันหมดพวกนี้ บอกยังไงๆก็ไม่ฟังพอเราพูดเยอะก็โมโห ไม่รู้จะทำไงแล้ว ไม่เอาลูกเอาเมียก็เพราะแบบนี้แหละ
แต่ต้องใช้หนี้ แสนสอง+ดอกเบี้ย สรุป เกือบสองแสน แต่ได้เงินสดแค่แปดหมื่น ส่งหมดเอาเข้าใหม่ คนจ่ายก็ผมเองนี้แหละ รถมอไซด เข้าไปได้ หมื่นสอง แต่ได้เงินสดแค่แปดพันแกก็เอา บอกเอามาหมุ่นก่อน แล้วเราก็ส่งอีกให้อีก เกือบสองหมื่น พอเงินไม่พอส่ง ก็ไปกู้ร้อยละสิบยี่สิบมาผ่อนไฟแนซ์ไปก่อน ส่วนตัวผมเองไม่หนี้อะไรเลยแต่เงินแทบไม่พอใช้แตะละเดือนเพราะต้องมาตามจ่ายดอกที่ไม่มีวันหมดพวกนี้ บอกยังไงๆก็ไม่ฟังพอเราพูดเยอะก็โมโห ไม่รู้จะทำไงแล้ว ไม่เอาลูกเอาเมียก็เพราะแบบนี้แหละ
Like : Godzeus
Fri 19 Jan 2018 : 3:31PM
บางคนซื้อข้าวแกงกินประหยัดที่สุด บางคนอยู่เป็นครอบครัวทำกับข้าวกินเองคุ้มกว่าซื้อกับข้าวเป็นถุง เพราะฉะนั้นหน่วยย่อย/แบ่งขาย มันไม่ได้หมายความทุกคนจะเสียเปรียบ
บุหรี่ เข้าใจว่าปรับราคาเท่ากัน เช่นกลุ่มราคา 60 บาท กลุ่ม 90 บาท ถ้าเสียเปรียบคือพวกซองอ่อนมวนเล็กๆมากกว่า อย่างกรองทิพย์ซองอ่อนเดิมมันประมาณ 60 กว่า ตอนนี้ขึ้นเป็น 90 เท่าซองหนามวนใหญ่ 90 บาทเท่ากัน กรองทิพย์เหมือนกัน ถ้าซื้อซองใหญ่มันได้ปริมาณเยอะกว่าเห็นๆ
ผมมองว่าทำงานรายวัน เติมเงินทีละ 10 บาทเป็นเรื่องปกตินะ คนงานบ้านผมหลายคนรวยนะ ทุกคนได้รายวันหมด ยกเว้นพวกเซลล์ คนงานที่มาดูแลสวนให้ เมียมันก็เป็นแม่บ้านทำงานบ้านผม รายวันทั้งคู่ แต่แม่งรวยนะ สร้างบ้านหลังใหม่สองล้าน มีปิ๊กอัพ บ้านมีวัวร้อยตัว
แต่ผมมองว่าพวกชั้นกลาง กินสตาร์บั๊ค แดกไวน์ ใช้ไอโฟน เอาเงินไปซื้อตั๋วดูเกาหลี อันนี้ดูโง่ ฟุ่มเฟือยกว่านะ แต่ตัดเรื่องการใช้เงิน (ที่เป็นสิทธิส่วนตัว) ก็ถือว่าช่วยเรื่องการใช้จ่าย ทำให้เงินหมุนเวียน (ไหลออกซะส่วนใหญ่)
บุหรี่ เข้าใจว่าปรับราคาเท่ากัน เช่นกลุ่มราคา 60 บาท กลุ่ม 90 บาท ถ้าเสียเปรียบคือพวกซองอ่อนมวนเล็กๆมากกว่า อย่างกรองทิพย์ซองอ่อนเดิมมันประมาณ 60 กว่า ตอนนี้ขึ้นเป็น 90 เท่าซองหนามวนใหญ่ 90 บาทเท่ากัน กรองทิพย์เหมือนกัน ถ้าซื้อซองใหญ่มันได้ปริมาณเยอะกว่าเห็นๆ
ผมมองว่าทำงานรายวัน เติมเงินทีละ 10 บาทเป็นเรื่องปกตินะ คนงานบ้านผมหลายคนรวยนะ ทุกคนได้รายวันหมด ยกเว้นพวกเซลล์ คนงานที่มาดูแลสวนให้ เมียมันก็เป็นแม่บ้านทำงานบ้านผม รายวันทั้งคู่ แต่แม่งรวยนะ สร้างบ้านหลังใหม่สองล้าน มีปิ๊กอัพ บ้านมีวัวร้อยตัว
แต่ผมมองว่าพวกชั้นกลาง กินสตาร์บั๊ค แดกไวน์ ใช้ไอโฟน เอาเงินไปซื้อตั๋วดูเกาหลี อันนี้ดูโง่ ฟุ่มเฟือยกว่านะ แต่ตัดเรื่องการใช้เงิน (ที่เป็นสิทธิส่วนตัว) ก็ถือว่าช่วยเรื่องการใช้จ่าย ทำให้เงินหมุนเวียน (ไหลออกซะส่วนใหญ่)
Like : Godzeus
Sat 20 Jan 2018 : 7:11AM
อยากให้ไปดู Marshmallow Test ใน youtube
ความสามารถในการควบคุมตัวเอง อดเปรี้ยวไว้กินหวาน (delayed gratification) เป็นคุณสมบัติที่คนจนไม่มี และคนที่รวยเอง มีทุกคน
ความสามารถในการควบคุมตัวเอง อดเปรี้ยวไว้กินหวาน (delayed gratification) เป็นคุณสมบัติที่คนจนไม่มี และคนที่รวยเอง มีทุกคน
Sat 20 Jan 2018 : 7:45AM
ที่จริงเรื่องมาชเมลโลเทส มันเอามาพูดเพราะการตื่นตัวเรื่อง E.Q.
เรื่องเงินมันต้องคำนึงถึง.
1.การจ่าย (คุ้มค่า,อดเปรี้ยวกินหวาน ฯลฯ)
2.รายรับ. ซึ่งควรจะมีเรื่องที่คอยหาทางใหม่ๆ. (แบบในเรื่องชีสก้อนที่สอง).
ที่จริงชีวิตมันต้องสมดุล รายรับ-รายจ่าย. คนจะรวยก็ไม่ใช่แค่คุมรายจ่าย งก ,ประหยัด,เขียม. นะครับเขาต้องหาเงินได้ถูกทาง ลงทุนถูกทางด้วย
เรื่องใช้เงินให้เป็นต้องถกกันยาวเลย แต่เมนต์นี้อยากให้โฟกัสเรื่องใช้เงินก่อน. ส่วนเรื่องหาเงิน,เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกเมนต์ดีกว่า
เรื่องเงินมันต้องคำนึงถึง.
1.การจ่าย (คุ้มค่า,อดเปรี้ยวกินหวาน ฯลฯ)
2.รายรับ. ซึ่งควรจะมีเรื่องที่คอยหาทางใหม่ๆ. (แบบในเรื่องชีสก้อนที่สอง).
ที่จริงชีวิตมันต้องสมดุล รายรับ-รายจ่าย. คนจะรวยก็ไม่ใช่แค่คุมรายจ่าย งก ,ประหยัด,เขียม. นะครับเขาต้องหาเงินได้ถูกทาง ลงทุนถูกทางด้วย
เรื่องใช้เงินให้เป็นต้องถกกันยาวเลย แต่เมนต์นี้อยากให้โฟกัสเรื่องใช้เงินก่อน. ส่วนเรื่องหาเงิน,เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกเมนต์ดีกว่า
[Edited 1 times Godzeus - Last Edit 2018-01-20 08:02:37]
Sat 20 Jan 2018 : 8:13AM
ทั้งราบรับและรายจ่าย การควบคุมตัวเองเกี่ยวทั้งนั้น
แต่เรื่องรายรับ การเพิ่มรายรับที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการลงทุน ถ้าไม่มีเงินเหลือมันจะมีงินลงทุนไหม แต่เรื่องสำคัญกว่าในเรื่องรายรับอาจจะเป็นเรื่องความสามารถ กื๋น และต้องยอมรับว่าทุนเดิมๆ (รวมทั้งโอกาส) ที่พ่อแม่ให้มันก็สำคัญมากๆ
มองรอบตัวผมเห็นคนที่หาเงินเก่งบางคน ก็ยังใช้เงินเก่งกว่าที่หา ซึ่งมันก็จะทำให้ชีวิตทั้งส่วนตัวและครอบครัวมีความเสี่ยง ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องไปลุ้นขนาดนั้นถ้าอดใจได้สักหน่อย
คนไทยความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคล และเศรษฐศาสตร์ต่ำมากๆ แต่อย่างว่าครูๆ ส่วนใหญ่ยังเอาตัวไม่รอด จะมาสอนใครได้ 555
แต่เรื่องรายรับ การเพิ่มรายรับที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการลงทุน ถ้าไม่มีเงินเหลือมันจะมีงินลงทุนไหม แต่เรื่องสำคัญกว่าในเรื่องรายรับอาจจะเป็นเรื่องความสามารถ กื๋น และต้องยอมรับว่าทุนเดิมๆ (รวมทั้งโอกาส) ที่พ่อแม่ให้มันก็สำคัญมากๆ
มองรอบตัวผมเห็นคนที่หาเงินเก่งบางคน ก็ยังใช้เงินเก่งกว่าที่หา ซึ่งมันก็จะทำให้ชีวิตทั้งส่วนตัวและครอบครัวมีความเสี่ยง ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องไปลุ้นขนาดนั้นถ้าอดใจได้สักหน่อย
คนไทยความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคล และเศรษฐศาสตร์ต่ำมากๆ แต่อย่างว่าครูๆ ส่วนใหญ่ยังเอาตัวไม่รอด จะมาสอนใครได้ 555
Like : toranin
Sat 20 Jan 2018 : 8:22AM
ก็ขนาดทรนินยังให้ความเห็นว่า
เติมทีละ 10+2. เป็นเรื่องธรรมดา +ไม่รวยเพราะเงินสองบาทนี้.
ผมเลยลังเลที่จะพูดแล้วว่าต้องประหยัดก่อนลงทุนเลยครับ. บางทีที่ผมใช้ชีวิตมาสามสิบปีแบบประหยัด(ไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียม)มันมีค่าน้อยสำหรับบางคน
สรุปเรื่อง 10+2 นี่เรื่องใหญ่ในสายตาคนอื่นไหมครับ
เติมทีละ 10+2. เป็นเรื่องธรรมดา +ไม่รวยเพราะเงินสองบาทนี้.
ผมเลยลังเลที่จะพูดแล้วว่าต้องประหยัดก่อนลงทุนเลยครับ. บางทีที่ผมใช้ชีวิตมาสามสิบปีแบบประหยัด(ไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียม)มันมีค่าน้อยสำหรับบางคน
สรุปเรื่อง 10+2 นี่เรื่องใหญ่ในสายตาคนอื่นไหมครับ
Sat 20 Jan 2018 : 11:44AM
เอาความเป็นจริงสิครับ เอาแบบที่เป็นไปได้ และย้ำนะ เราพูดกันถึง ลูกจ้างรายวันที่มีรายได้ขั้นต่ำ 300 บาท นะครับ
คนชั้นกลาง คนรวย มันก็อีกสูตรนึงนะ แต่สำหรับคนที่มีต้นทุนแค่นี้ วันละ 300 (ตีว่าเริ่มต้นจาก 0 ไม่มีอะไรเลย ต้องไปเช่าบ้าน ต้องเสียค่ารถ ฯลฯ) ผมกลับมองว่าการที่มันสามารถบริหารการเงินของมัน ถึงจะแบบวันต่อวัน มันก็ดีมากแล้ว ที่สำคัญคือมันไม่เป้น NPL ไม่มีหนี้สินเกินตัว
คุณมองว่า พวกค่าแรง 300 บาท ซื้อแชมพูแบบขวด 20 บาท =โง่ แต่ผมมองว่ามันอยู่ที่การเลือกบริหารให้เหมาะสมกับตัวเองเหมือนเลือกประเภทประกัน ประเภทบัญชีเงินฝาก จะเอาฝากแบบไหน ดอกบบไหน จะกู้แบบไหน จะเลือกผ่อนแบบไหน ซื้อแชมพูขวดใหญ่ราคาแพงไปเลย อาจจะเป็นภาระ หรืออาจจะต้องทำให้เป็นหนี้สำหรับคนกลุ่มนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นจะตีว่าซื้อของแบบหน่วยเล็ก=โง่ มันไม่ถูกเสมอไปนะครับ
คนชั้นกลาง คนรวย มันก็อีกสูตรนึงนะ แต่สำหรับคนที่มีต้นทุนแค่นี้ วันละ 300 (ตีว่าเริ่มต้นจาก 0 ไม่มีอะไรเลย ต้องไปเช่าบ้าน ต้องเสียค่ารถ ฯลฯ) ผมกลับมองว่าการที่มันสามารถบริหารการเงินของมัน ถึงจะแบบวันต่อวัน มันก็ดีมากแล้ว ที่สำคัญคือมันไม่เป้น NPL ไม่มีหนี้สินเกินตัว
คุณมองว่า พวกค่าแรง 300 บาท ซื้อแชมพูแบบขวด 20 บาท =โง่ แต่ผมมองว่ามันอยู่ที่การเลือกบริหารให้เหมาะสมกับตัวเองเหมือนเลือกประเภทประกัน ประเภทบัญชีเงินฝาก จะเอาฝากแบบไหน ดอกบบไหน จะกู้แบบไหน จะเลือกผ่อนแบบไหน ซื้อแชมพูขวดใหญ่ราคาแพงไปเลย อาจจะเป็นภาระ หรืออาจจะต้องทำให้เป็นหนี้สำหรับคนกลุ่มนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นจะตีว่าซื้อของแบบหน่วยเล็ก=โง่ มันไม่ถูกเสมอไปนะครับ
Sat 20 Jan 2018 : 12:35PM
ทรนินต้องทำความเข้าใจเรื่อง เซต,ซับเซตใหม่ทั้งบทนะครับ
คือคนทั่วไปเขาเข้าใจว่ามีความยืดหยุ่นในประโยคแบบนี้อยู่นะครับ. ถ้าผมบอก
เรื่อง 10+2 ไม่ดีแบบมากๆ.
แต่ไอ้ซื้อของย่อยบางอย่างอาจจะกลางๆ.
แต่แบบแบ่งบุหรี่ย่อยเป็นมวน, ขวดแบ่งสี่. ผมก็แจงแล้วว่าราคามันแพงขึ้นไป20-33%. นี่เข้าขั้นเลวร้ายเลยนะครับ
ถ้าใครคิดว่าทำแบบนั้นทำย่อยๆให้โดนคนอื่นเขากินส่วนต่าง ค่าธรรมเนียมที่ว่าดีกับเขา ผมก็ว่าดีครับ คุณยอมรับที่จ่ายเองWin ฝั่งบริการเขาก็ได้ค่าบริการ+ราคาไปเขาก็Win. win-win ทั้งคู่มันต้องดีสิ่ครับ
คือคนทั่วไปเขาเข้าใจว่ามีความยืดหยุ่นในประโยคแบบนี้อยู่นะครับ. ถ้าผมบอก
เรื่อง 10+2 ไม่ดีแบบมากๆ.
แต่ไอ้ซื้อของย่อยบางอย่างอาจจะกลางๆ.
แต่แบบแบ่งบุหรี่ย่อยเป็นมวน, ขวดแบ่งสี่. ผมก็แจงแล้วว่าราคามันแพงขึ้นไป20-33%. นี่เข้าขั้นเลวร้ายเลยนะครับ
ถ้าใครคิดว่าทำแบบนั้นทำย่อยๆให้โดนคนอื่นเขากินส่วนต่าง ค่าธรรมเนียมที่ว่าดีกับเขา ผมก็ว่าดีครับ คุณยอมรับที่จ่ายเองWin ฝั่งบริการเขาก็ได้ค่าบริการ+ราคาไปเขาก็Win. win-win ทั้งคู่มันต้องดีสิ่ครับ
[Edited 1 times Godzeus - Last Edit 2018-01-20 12:35:44]
Sat 20 Jan 2018 : 12:59PM
คุณพูดถึง ลูกจ้างรายวันที่มีรายได้ขั้นต่ำ 300 บาท นะครับ คุณบอก
เพราะฉะนั้นผมก็พูดถึง ลูกจ้างรายวันที่มีรายได้ขั้นต่ำ 300 บาท เข้าใจโจทย์ก่อนนะครับ
ทีนี้ต้องมองว่าต้นทุนของเขามีแค่นี้ (ผมเคยผ่านมาแล้ว) มันก็ทำได้แค่นั้น
อย่างเรื่องผ่อนของคุณบอกพวกนี้โง่ ไม่คิดว่าผ่อนยาวจ่ายขั้นต่ำรวมทั้งหมดจะจ่ายเท่าไหร่ อันนี้ผมบอกเลยเท่าที่ผมสัมผัสมา ทุกคนคำนวณเงินที่ต้องจ่ายทั้งหมดกันทั้งนั้นเลยครับ แต่เขาเลือกรูปแบบการผ่อนจ่ายตามแบบที่เขาทำได้
ย้ำนะครับ ผมย้ำเลย การบริหารรายรับรายจ่าย โดยไม่เป็นภาระกับตัวเอง แบบที่ตัวเองสามารถทำได้ ไม่เป็น NPL ไม่มีหนี้สินเกินตัว ผมว่ามันก็ดีมากๆแล้ว
และต้องคิดถึงค่าเสียโอกาสด้วยนะครับ เงินมีจำนวนเท่านี้ 300 บาท ทำไมไม่ซื้อบุหรี่เป็นซอง ซองละ 60-90 บาท การที่ซื้อบุหรี่แบบแบ่ง (เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้วนะครับ ถ้ายังขายอยู่ควรเลิกซะ) มันก็จะทำให้มีเงินไปใช้อย่างอื่นด้วยไงครับ อาจจะเก็บสะสม อาจจะเอาไปซื้อกับข้าว ฯลฯ ถ้าซื้อตูมเดียว 90 บาท 1./มันอาจจะไม่พอสิครับ เงินมีเท่านี้ จะสูบบุหรี่ก็เลยต้องซื้อแบบแบ่งย่อย 2./อาจจะเสียโอกาสในการเอาเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น
คือมองจากบนภูแล้วดูถูกคนอื่นมันคิดเหมือนง่ายสิครับ แต่เอาแบบความเป็นจริง ที่ทุกคน คนทั่วๆไปทำได้จริงๆมันอาจจะเป็นอีกแบบ คนที่รายได้วันละ 300 บาท จะไปซื้อของทีละมากหรือซื้อของแบบแพ็คใหญ่เพื่อให้ได้ราคาถูก แบบคนที่มีรายได้สูงทำกัน บางทีคนที่ได้รายได้ขั้นต่ำเขาก็ทำไม่ได่้นะ มันต้องดูภาระรวมๆ ดูการบริหารการเงินส่วนบุคคลในภาพรวมด้วยครับ
ย้ำอันนี้พูดถึงเรื่องที่คุณว่า พวกค่าแรงขั้นต่ำ ซื้อของแบ่งซื้อ=โง่ นะ
พวกนี้พฤติกรรมเผาเงินพวกนี้เกินเยียวยา
เติมเงินโทรศัพท์แบบน้อยๆ 10+2,20+2 ,50+3 ,100 ไม่บวก คนที่คิดเป็นหน่อยจะเติม 100 แต่คนแถวผมเติมทีละ 10-20 เยอะมาก ทำอะไรโดนบวก 10-20% เขาไม่ได้คิด
ซื้อของก็เลือกหน่วยเล็กสุดแพงสุด สบู่,ยาสีฟัน,ยาสระผม 20-บาทจะเป็นของขายดีสุด เมื่อก่อนถ้ามียาสระผมแบบซอง 2-3บ. คือจะขายดีมาก
เหล้า,บุหรี่มันมีหน่วยเป็นซองเป็นขวด ก็ยังจะให้เขาย่อยเป็นมวน ,เป็นกั้ก ตย. บุหรี่ SMS ซองละ 60แต่พอแบ่งมวนคิดมวนละ 4 ซองนึงยี่สิบมวน
ขายซอง 60: ขายมวน 80 กำไรเพิ่มขึ้น 20 บาท
20/60 *100= กำไรเพิ่ม 33%
เหล้ากั้ก เหล้าขาว 100 /ขวด แบ่งกั้กสี่ขวด 30/กั้ก
ได้ 120บาท
ขายขวด 100: ขายกั้ก 120 กำไร 20
20/100 *100 =กำไรเพิ่ม 20%
แล้วของบางอย่างก็ซื้อแพงแบบไม่ควรชอบมากในการเอาเครดิตไปซื้อแล้วผ่อนขั้นต่ำ แต่ไม่เคยถามว่าถ้าจ่ายแต่ขั้นต่ำ กว่าจะหมดหนี้ต้องจ่ายกี่เดือน/รวมเป็นเงินเท่าไหร่ ,คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของเงินต้น
เติมเงินโทรศัพท์แบบน้อยๆ 10+2,20+2 ,50+3 ,100 ไม่บวก คนที่คิดเป็นหน่อยจะเติม 100 แต่คนแถวผมเติมทีละ 10-20 เยอะมาก ทำอะไรโดนบวก 10-20% เขาไม่ได้คิด
ซื้อของก็เลือกหน่วยเล็กสุดแพงสุด สบู่,ยาสีฟัน,ยาสระผม 20-บาทจะเป็นของขายดีสุด เมื่อก่อนถ้ามียาสระผมแบบซอง 2-3บ. คือจะขายดีมาก
เหล้า,บุหรี่มันมีหน่วยเป็นซองเป็นขวด ก็ยังจะให้เขาย่อยเป็นมวน ,เป็นกั้ก ตย. บุหรี่ SMS ซองละ 60แต่พอแบ่งมวนคิดมวนละ 4 ซองนึงยี่สิบมวน
ขายซอง 60: ขายมวน 80 กำไรเพิ่มขึ้น 20 บาท
20/60 *100= กำไรเพิ่ม 33%
เหล้ากั้ก เหล้าขาว 100 /ขวด แบ่งกั้กสี่ขวด 30/กั้ก
ได้ 120บาท
ขายขวด 100: ขายกั้ก 120 กำไร 20
20/100 *100 =กำไรเพิ่ม 20%
แล้วของบางอย่างก็ซื้อแพงแบบไม่ควรชอบมากในการเอาเครดิตไปซื้อแล้วผ่อนขั้นต่ำ แต่ไม่เคยถามว่าถ้าจ่ายแต่ขั้นต่ำ กว่าจะหมดหนี้ต้องจ่ายกี่เดือน/รวมเป็นเงินเท่าไหร่ ,คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของเงินต้น
เพราะฉะนั้นผมก็พูดถึง ลูกจ้างรายวันที่มีรายได้ขั้นต่ำ 300 บาท เข้าใจโจทย์ก่อนนะครับ
ทีนี้ต้องมองว่าต้นทุนของเขามีแค่นี้ (ผมเคยผ่านมาแล้ว) มันก็ทำได้แค่นั้น
อย่างเรื่องผ่อนของคุณบอกพวกนี้โง่ ไม่คิดว่าผ่อนยาวจ่ายขั้นต่ำรวมทั้งหมดจะจ่ายเท่าไหร่ อันนี้ผมบอกเลยเท่าที่ผมสัมผัสมา ทุกคนคำนวณเงินที่ต้องจ่ายทั้งหมดกันทั้งนั้นเลยครับ แต่เขาเลือกรูปแบบการผ่อนจ่ายตามแบบที่เขาทำได้
ย้ำนะครับ ผมย้ำเลย การบริหารรายรับรายจ่าย โดยไม่เป็นภาระกับตัวเอง แบบที่ตัวเองสามารถทำได้ ไม่เป็น NPL ไม่มีหนี้สินเกินตัว ผมว่ามันก็ดีมากๆแล้ว
และต้องคิดถึงค่าเสียโอกาสด้วยนะครับ เงินมีจำนวนเท่านี้ 300 บาท ทำไมไม่ซื้อบุหรี่เป็นซอง ซองละ 60-90 บาท การที่ซื้อบุหรี่แบบแบ่ง (เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้วนะครับ ถ้ายังขายอยู่ควรเลิกซะ) มันก็จะทำให้มีเงินไปใช้อย่างอื่นด้วยไงครับ อาจจะเก็บสะสม อาจจะเอาไปซื้อกับข้าว ฯลฯ ถ้าซื้อตูมเดียว 90 บาท 1./มันอาจจะไม่พอสิครับ เงินมีเท่านี้ จะสูบบุหรี่ก็เลยต้องซื้อแบบแบ่งย่อย 2./อาจจะเสียโอกาสในการเอาเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น
คือมองจากบนภูแล้วดูถูกคนอื่นมันคิดเหมือนง่ายสิครับ แต่เอาแบบความเป็นจริง ที่ทุกคน คนทั่วๆไปทำได้จริงๆมันอาจจะเป็นอีกแบบ คนที่รายได้วันละ 300 บาท จะไปซื้อของทีละมากหรือซื้อของแบบแพ็คใหญ่เพื่อให้ได้ราคาถูก แบบคนที่มีรายได้สูงทำกัน บางทีคนที่ได้รายได้ขั้นต่ำเขาก็ทำไม่ได่้นะ มันต้องดูภาระรวมๆ ดูการบริหารการเงินส่วนบุคคลในภาพรวมด้วยครับ
ย้ำอันนี้พูดถึงเรื่องที่คุณว่า พวกค่าแรงขั้นต่ำ ซื้อของแบ่งซื้อ=โง่ นะ
# Fri 19 Jan 2018 : 2:02PM
ผมว่าจริงๆแล้ว ชีวิตคนมันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวหรอก ชีวิตของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
ส่วนตัวผมเฉยๆกับพวก หนังสือเศรษฐีสอนรวย, เดินตามอย่างวิกรม, สอนให้คิดรวย, แม้วดูดาวเท้าติดดิน ฯลฯ พวกเทรนเนอร์สอนใช้ชีวิต เปิดคอร์สสอนชีวิต (แต่ตัวเทรนเนอร์ยังเด็กอยู่ ยังไม่ได้ผ่านร้อนหนาว ยังไม่เคยผ่านความล้มเหลว) คือบางอย่างก็ดี แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องทำแบบนี้เท่านั้น
แต่ที่แอนตี้ที่สุดคือพวกที่มาแนว "คนไทยมันห่วย คนไทยต้องทำแบบนี้สิ ต้องเปลี่ยนการดำรงชีวิต ต้องเปลี่ยนวิธีคิด บลาๆๆ"
###############################
เรื่องแรงงาน
ที่คนไทยไม่ค่อยมีใครอยากทำ ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ ไม่อดทนนะครับ แต่คนบ้านเรามีทางเลือกและเลือกงานที่ดีกว่าได้ อย่างแรงงานประมง แกะกุ้ง อย่างแรงงานเกษตร ตัดอ้อย วัยรุ่นบ้านเราไม่ค่อยทำกันหรอกครับ มันก็เลือกไปอยู่ 7-11, ไปขับวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมันสบายกว่า รายได้ดีกว่า อย่างขับวินบางที่ได้วันละ 2-3 พัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีนะครับ
ส่วนพวกแรงงานต่างด้าว ที่เขาทำได้ เพราะรายได้มันถือว่าเยอะสำหรับเขา ก็เหมือนที่คนไทยไปแบกหาม ไปรับจ้างขุดดินที่ตะวันออกกลาง
แต่ต่างด้าว เดี๋ยว มิ.ย. นี้ที่รบ.ยืดให้ พอถึงวันที่ 1 ก.ค. ก็จะจับกันแหลกรานอีก ก็จะเข้าลูปเดิมแน่นอน เพราะดูท่าคงไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติกันได้ทัน ปัญหาคือระบบทะเบียนราษฎร์ของประเทศเพื่อนบ้านเรามันห่วย มันล้าหลัง พม่างี้ ลาวงี้ คือถ้ามันทำได้มันเสร็จไปนานแล้ว ถึงตอนนั้นนายจ้างก็จะโวยกันอีก "กูก็ทำแล้วไง มันไม่ใช่ความผิดกู" (ผิดที่พม่าลาวมันทำไม่ทันโน่น) และรบ.ก็น่าจะไม่ยอม "ไม่ได้ สหรัฐจี้มา ถ้าไม่ทำก็ค้าขายกับสหรัฐไม่ได้" (ประเทศคู่ค้าอันดับ1 ที่เราได้กำไรจากมันเป็นอันดับ1 ถ้าตกลงการค้ากับมันไม่ได้ก็จะฉิบหายกันอีก) อันนี้พูดไว้เฉยๆ ทายผลล่วงหน้า อีกหกเดือนมาดูกัน
ซึ่งพวกนายจ้างที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหากัน เพราะแรงงานมันถูกต้อง มันขอโควต้าตาม MOU แต่พวกรายเล็ก พวกประมง พวกคนทั่วไป พวกที่จ้างเป็นแรงงานในบ้าน จะมีปัญหาแน่ เพราะส่วนมากเป็นแรงงานเถื่อน (ซึ่งปี 61 นี้รบ.ไม่ให้แล้ว) หรือพวกที่กำลังรอพิสูจน์สัญชาติอยู่ ก็จะทำไม่ทัน อันนี้ส่วนนึงเป็นเพราะระบบอุปถัมป์ด้วย คือนายจ้างก็อยากจับคู่กับลูกจ้าง จะเอาคนเดิมที่เคยอยู่ด้วยกัน (ซึ่งระบบใหม่มันไม่ต้องไปจับคู่ แกล้งขับรถวนออกไปนอกด่านแล้วกลับเข้ามาที่ด่าน ไปตรวจสุขภาพ ไปอบรม ต่างด้าวก็ทำเหมือนเพิ่งจะเริ่มเข้ามาทำงานในไทยเป็นวันแรก แต่มันก็จะพิสูจน์สัญชาติกันไม่ทันอยู่ดี) สุดท้ายมันก็จะเฮโลกันออกไปนอกด่านอีก ปรับ 4 แสน/ราย ใครมันจะกล้าเสี่ยงล่ะครับ ไม่มีคนงานห้างร้านก็จะปิดกันอีก แล้วสักพักรบ.ก็จะยอมอ่อนให้อีก ผ่อนออกไปให้อีก ก็เข้าลูปเดิม
##################################
เรื่องการใช้ชีวิตของคนมีรายได้น้อย การใช้จ่ายของคนมีรายได้น้อย
ในฐานะที่ผมเคยผ่านจุดนั้นมา เคยทำงานรายวันมา ผมมองว่ามันคือการหมุนเงิน ซึ่งได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ต้องชั่งน้ำหนักกันเอาเอง แต่ละคนอาจจะเลือกไม่เหมือนกัน คือสมมุติ คุณมีเงิน 5 แสน คุณต้องชั่งน้ำหนัก เลือกให้เหมาะสมกับตัวเองว่า คุณจะซื้อรถตูมเดียวเงินสด ซึ่งแบบนี้มันประหยัดราคาที่สุด หรือคุณจะเลือกผ่อนรถ แล้วเอาเงินไปหมุนทำธุรกิจ ลงทุนทำอย่างอื่น ฯลฯ คุณมีเงิน 300/วัน คุณต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม คือมันไม่มีสูตรตายตัว
เสียค่าเติมเงิน+2 บาท ผมว่ามันตีว่าทุกคนที่ทำแบบนี้ "โง่" ไม่ได้หรอกนะ เงิน 2 บาทเก็บทุกวัน ผมบอกเลยว่ามันไม่รวยหรอก จะมีเงินเก็บ 70,000 บาท ต่อปี ต้องเก็บเงินวันละ 192 บาท แต่คนที่ได้ค่าแรงได้วันละ 300 (รอบนอก ร้านเล็กๆ ลูกจ้างในบ้าน งานแม่บ้าน ได้ไม่ถึงนะครับ) และแต่ละคนมันก็มีปัจจัยอื่นๆที่ต่างกันอีก บางคนมีภาระครอบครัว บางคนมีค่าเช่าบ้าน ฯลฯ มันก็เลยมีทั้งคนที่สามารถเก็บเงินได้วันละ 100 บาท กับคนที่ไม่สามารถมีเงินเหลือเก็บถึงวันละ 100 หรือบางคนก็ไม่มีเหลือเลย
คือบางคนรายได้ 300/วัน แต่มีภาระ ค่าเทอมลูก ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเน็ต จะบอกว่าไม่ต้องเล่นเน็ต มันก็ไม่ได้ทำให้มีเงินเก็บมากขึ้น บางคนก็เลือกที่จะเสียค่าเน็ตเพื่อแลกกับความสุขในส่วนนี้ บางคนเลือกที่จะเซ็นของ แล้วเสียค่าดอก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
ปัญหาจริงๆมันจะเป็นเรื่อง "หนี้นอกระบบ" มากกว่า ซึ่งรบ.ก็ต้องแก้ปัญหาตรงนี้ด้วย
ทีนี้ปัญหาของคนทำงานรายวัน คืองานที่ทำส่วนใหญ่มันไม่สามารถก้าวหน้าในสายงานนั้นๆได้ เช่น แรงงานประมง แกะกุ้ง ค่าแรงขั้นต่ำ ทำไปอีก 5-10 ปี ก็ยังเป็นตำแหน่งแกะกุ้งอยู่เหมือนเดิม คือนอกจากงานที่ได้ค่าแรงรายวันแล้ว ก็ยังมีอีกหลายอาชีพที่เป็นแบบนี้ เช่น คนขับแท็กซี่ 10-20 ปีก็ยังขับแท็กซี่อยู่เหมือนเดิม
วิธีที่จะมีรายได้มากขึ้น รวยขึ้น คือก็ต้องไปทำอย่างอื่นเพิ่ม ต้องไปรับจ้างเพิ่ม ต้องทำโอที (ถ้างานมันมีโอทีให้ทำนะ) หรือไปหาอะไรทำเพิ่ม ซึ่งมันก็แลกกับเวลา (คนยังไงก็ต้องพัก) ซึ่งมันก็มีหลายวิธี ง่ายสุด ลัดสุด ก็คือเริ่มต้นแบบจับเสือมือเปล่า เช่น ลองไปคุยกับเจ้าของไร่ เจ้าของสวน ไปตกลงขอดูแลสวนให้เค้า ถ้าสวนลำไยก็ใส่สาร รดน้ำ ถางหญ้าให้ แลกกับการที่คุณจะได้พื้นที่ในสวนไปปลูกพืชผลฟรีๆ ปลูกกล้วย ปลูกตะไคร้ ซึ่งพวกที่ทำดีๆ รับงานโน่นนี่ เช้า-เย็นก็ไปทำงานรายวัน เย็นกับวันหยุดไปดูแลสวน จะสามารถมีบ้าน มีเงินเก็บ มีรถปิ๊กอัพขับได้แล้วนะ อันนี้ยกตัวอย่าง
คือถ้าตามสูตร "เศรษฐกิจพอเพียง" อันนี้พูดหลายรอบมาก คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า "พอเพียง=เขียม, ใช้แบบจำกัดจำเขี่ย, ประหยัด" ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่ครับ ในหลวงฯก็บอกว่ามีเงินก็เอาไปซื้อ ไปใช้จ่ายหาความสุขได้ แต่ต้องไม่เวอร์เกินนะ อยากติดเน็ต อยากติดจานดาวเทียมดูบอล ท่านก็บอกว่าทำได้ คือหลักเศรษฐศาสตร์มันควรเป็นการบริหาร จัดการ การหมุนเงิน การหาวิธีใช้จ่ายให้เหมาะสมกับแต่ละคน ไม่ใช่มีแค่สมการ "ประหยัด+เขียม+เก็บเงิน=มีเงินฝาก=รวย"
ส่วนตัวผมเฉยๆกับพวก หนังสือเศรษฐีสอนรวย, เดินตามอย่างวิกรม, สอนให้คิดรวย, แม้วดูดาวเท้าติดดิน ฯลฯ พวกเทรนเนอร์สอนใช้ชีวิต เปิดคอร์สสอนชีวิต (แต่ตัวเทรนเนอร์ยังเด็กอยู่ ยังไม่ได้ผ่านร้อนหนาว ยังไม่เคยผ่านความล้มเหลว) คือบางอย่างก็ดี แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องทำแบบนี้เท่านั้น
แต่ที่แอนตี้ที่สุดคือพวกที่มาแนว "คนไทยมันห่วย คนไทยต้องทำแบบนี้สิ ต้องเปลี่ยนการดำรงชีวิต ต้องเปลี่ยนวิธีคิด บลาๆๆ"
###############################
เรื่องแรงงาน
ที่คนไทยไม่ค่อยมีใครอยากทำ ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ ไม่อดทนนะครับ แต่คนบ้านเรามีทางเลือกและเลือกงานที่ดีกว่าได้ อย่างแรงงานประมง แกะกุ้ง อย่างแรงงานเกษตร ตัดอ้อย วัยรุ่นบ้านเราไม่ค่อยทำกันหรอกครับ มันก็เลือกไปอยู่ 7-11, ไปขับวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมันสบายกว่า รายได้ดีกว่า อย่างขับวินบางที่ได้วันละ 2-3 พัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีนะครับ
ส่วนพวกแรงงานต่างด้าว ที่เขาทำได้ เพราะรายได้มันถือว่าเยอะสำหรับเขา ก็เหมือนที่คนไทยไปแบกหาม ไปรับจ้างขุดดินที่ตะวันออกกลาง
แต่ต่างด้าว เดี๋ยว มิ.ย. นี้ที่รบ.ยืดให้ พอถึงวันที่ 1 ก.ค. ก็จะจับกันแหลกรานอีก ก็จะเข้าลูปเดิมแน่นอน เพราะดูท่าคงไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติกันได้ทัน ปัญหาคือระบบทะเบียนราษฎร์ของประเทศเพื่อนบ้านเรามันห่วย มันล้าหลัง พม่างี้ ลาวงี้ คือถ้ามันทำได้มันเสร็จไปนานแล้ว ถึงตอนนั้นนายจ้างก็จะโวยกันอีก "กูก็ทำแล้วไง มันไม่ใช่ความผิดกู" (ผิดที่พม่าลาวมันทำไม่ทันโน่น) และรบ.ก็น่าจะไม่ยอม "ไม่ได้ สหรัฐจี้มา ถ้าไม่ทำก็ค้าขายกับสหรัฐไม่ได้" (ประเทศคู่ค้าอันดับ1 ที่เราได้กำไรจากมันเป็นอันดับ1 ถ้าตกลงการค้ากับมันไม่ได้ก็จะฉิบหายกันอีก) อันนี้พูดไว้เฉยๆ ทายผลล่วงหน้า อีกหกเดือนมาดูกัน
ซึ่งพวกนายจ้างที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหากัน เพราะแรงงานมันถูกต้อง มันขอโควต้าตาม MOU แต่พวกรายเล็ก พวกประมง พวกคนทั่วไป พวกที่จ้างเป็นแรงงานในบ้าน จะมีปัญหาแน่ เพราะส่วนมากเป็นแรงงานเถื่อน (ซึ่งปี 61 นี้รบ.ไม่ให้แล้ว) หรือพวกที่กำลังรอพิสูจน์สัญชาติอยู่ ก็จะทำไม่ทัน อันนี้ส่วนนึงเป็นเพราะระบบอุปถัมป์ด้วย คือนายจ้างก็อยากจับคู่กับลูกจ้าง จะเอาคนเดิมที่เคยอยู่ด้วยกัน (ซึ่งระบบใหม่มันไม่ต้องไปจับคู่ แกล้งขับรถวนออกไปนอกด่านแล้วกลับเข้ามาที่ด่าน ไปตรวจสุขภาพ ไปอบรม ต่างด้าวก็ทำเหมือนเพิ่งจะเริ่มเข้ามาทำงานในไทยเป็นวันแรก แต่มันก็จะพิสูจน์สัญชาติกันไม่ทันอยู่ดี) สุดท้ายมันก็จะเฮโลกันออกไปนอกด่านอีก ปรับ 4 แสน/ราย ใครมันจะกล้าเสี่ยงล่ะครับ ไม่มีคนงานห้างร้านก็จะปิดกันอีก แล้วสักพักรบ.ก็จะยอมอ่อนให้อีก ผ่อนออกไปให้อีก ก็เข้าลูปเดิม
##################################
เรื่องการใช้ชีวิตของคนมีรายได้น้อย การใช้จ่ายของคนมีรายได้น้อย
ในฐานะที่ผมเคยผ่านจุดนั้นมา เคยทำงานรายวันมา ผมมองว่ามันคือการหมุนเงิน ซึ่งได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ต้องชั่งน้ำหนักกันเอาเอง แต่ละคนอาจจะเลือกไม่เหมือนกัน คือสมมุติ คุณมีเงิน 5 แสน คุณต้องชั่งน้ำหนัก เลือกให้เหมาะสมกับตัวเองว่า คุณจะซื้อรถตูมเดียวเงินสด ซึ่งแบบนี้มันประหยัดราคาที่สุด หรือคุณจะเลือกผ่อนรถ แล้วเอาเงินไปหมุนทำธุรกิจ ลงทุนทำอย่างอื่น ฯลฯ คุณมีเงิน 300/วัน คุณต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม คือมันไม่มีสูตรตายตัว
เสียค่าเติมเงิน+2 บาท ผมว่ามันตีว่าทุกคนที่ทำแบบนี้ "โง่" ไม่ได้หรอกนะ เงิน 2 บาทเก็บทุกวัน ผมบอกเลยว่ามันไม่รวยหรอก จะมีเงินเก็บ 70,000 บาท ต่อปี ต้องเก็บเงินวันละ 192 บาท แต่คนที่ได้ค่าแรงได้วันละ 300 (รอบนอก ร้านเล็กๆ ลูกจ้างในบ้าน งานแม่บ้าน ได้ไม่ถึงนะครับ) และแต่ละคนมันก็มีปัจจัยอื่นๆที่ต่างกันอีก บางคนมีภาระครอบครัว บางคนมีค่าเช่าบ้าน ฯลฯ มันก็เลยมีทั้งคนที่สามารถเก็บเงินได้วันละ 100 บาท กับคนที่ไม่สามารถมีเงินเหลือเก็บถึงวันละ 100 หรือบางคนก็ไม่มีเหลือเลย
คือบางคนรายได้ 300/วัน แต่มีภาระ ค่าเทอมลูก ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเน็ต จะบอกว่าไม่ต้องเล่นเน็ต มันก็ไม่ได้ทำให้มีเงินเก็บมากขึ้น บางคนก็เลือกที่จะเสียค่าเน็ตเพื่อแลกกับความสุขในส่วนนี้ บางคนเลือกที่จะเซ็นของ แล้วเสียค่าดอก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
ปัญหาจริงๆมันจะเป็นเรื่อง "หนี้นอกระบบ" มากกว่า ซึ่งรบ.ก็ต้องแก้ปัญหาตรงนี้ด้วย
ทีนี้ปัญหาของคนทำงานรายวัน คืองานที่ทำส่วนใหญ่มันไม่สามารถก้าวหน้าในสายงานนั้นๆได้ เช่น แรงงานประมง แกะกุ้ง ค่าแรงขั้นต่ำ ทำไปอีก 5-10 ปี ก็ยังเป็นตำแหน่งแกะกุ้งอยู่เหมือนเดิม คือนอกจากงานที่ได้ค่าแรงรายวันแล้ว ก็ยังมีอีกหลายอาชีพที่เป็นแบบนี้ เช่น คนขับแท็กซี่ 10-20 ปีก็ยังขับแท็กซี่อยู่เหมือนเดิม
วิธีที่จะมีรายได้มากขึ้น รวยขึ้น คือก็ต้องไปทำอย่างอื่นเพิ่ม ต้องไปรับจ้างเพิ่ม ต้องทำโอที (ถ้างานมันมีโอทีให้ทำนะ) หรือไปหาอะไรทำเพิ่ม ซึ่งมันก็แลกกับเวลา (คนยังไงก็ต้องพัก) ซึ่งมันก็มีหลายวิธี ง่ายสุด ลัดสุด ก็คือเริ่มต้นแบบจับเสือมือเปล่า เช่น ลองไปคุยกับเจ้าของไร่ เจ้าของสวน ไปตกลงขอดูแลสวนให้เค้า ถ้าสวนลำไยก็ใส่สาร รดน้ำ ถางหญ้าให้ แลกกับการที่คุณจะได้พื้นที่ในสวนไปปลูกพืชผลฟรีๆ ปลูกกล้วย ปลูกตะไคร้ ซึ่งพวกที่ทำดีๆ รับงานโน่นนี่ เช้า-เย็นก็ไปทำงานรายวัน เย็นกับวันหยุดไปดูแลสวน จะสามารถมีบ้าน มีเงินเก็บ มีรถปิ๊กอัพขับได้แล้วนะ อันนี้ยกตัวอย่าง
คือถ้าตามสูตร "เศรษฐกิจพอเพียง" อันนี้พูดหลายรอบมาก คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า "พอเพียง=เขียม, ใช้แบบจำกัดจำเขี่ย, ประหยัด" ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่ครับ ในหลวงฯก็บอกว่ามีเงินก็เอาไปซื้อ ไปใช้จ่ายหาความสุขได้ แต่ต้องไม่เวอร์เกินนะ อยากติดเน็ต อยากติดจานดาวเทียมดูบอล ท่านก็บอกว่าทำได้ คือหลักเศรษฐศาสตร์มันควรเป็นการบริหาร จัดการ การหมุนเงิน การหาวิธีใช้จ่ายให้เหมาะสมกับแต่ละคน ไม่ใช่มีแค่สมการ "ประหยัด+เขียม+เก็บเงิน=มีเงินฝาก=รวย"
# Fri 19 Jan 2018 : 2:12PM
# Fri 19 Jan 2018 : 2:31PM
ปัญหาคนไทยเลือกงานนี่ผมก็ว่าแปลกดี ถ้าเป็นตำแหน่งเดียวกัน คนไทยจะคาดหวังว่าต้องได้ค่าแรงมากกว่าคนต่างด้าว
เคยจ้างคนงานที่บ้าน พม่า/กะเหรี่ยง เดือนละ 8000-12000 คนไทยจะเอา 15000 เป็นขั้นต่ำ
คำถามคือ แรงงานไทยมีอะไรเหนือกว่า? ทำงานได้พอ ๆ กัน คนต่างด้าวก็สื่อสารภาษาไทยได้เป็นส่วนมาก แถมบางคนพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอควรด้วยซ้ำไป (มีแบบจบ ป ตรีด้วย)
แรงงานไทยบอก 300 ใช้ไม่พอ แรงงานลาวใกล้ ๆ บ้านมีเหลือส่งกลับลาว
งง
เคยจ้างคนงานที่บ้าน พม่า/กะเหรี่ยง เดือนละ 8000-12000 คนไทยจะเอา 15000 เป็นขั้นต่ำ
คำถามคือ แรงงานไทยมีอะไรเหนือกว่า? ทำงานได้พอ ๆ กัน คนต่างด้าวก็สื่อสารภาษาไทยได้เป็นส่วนมาก แถมบางคนพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอควรด้วยซ้ำไป (มีแบบจบ ป ตรีด้วย)
แรงงานไทยบอก 300 ใช้ไม่พอ แรงงานลาวใกล้ ๆ บ้านมีเหลือส่งกลับลาว
งง
View all 2 comments >
Fri 19 Jan 2018 : 3:40PM
ปกติของทีมเจ้าบ้านนะผมว่า จานแบะว่าคนซาอุมันจะเรียกร้อง+เรื่องมาก กว่าพวกแรงงานต่างด้าวไหม ? อเมริกาจะมีชาวอเมริกันที่เรียกค่าจ้างแพงกว่าพวกเม็กซิกัน พวกต่างด้าว ที่เข้าไปหางานทำในสหรัฐไหม ?
Fri 19 Jan 2018 : 6:00PM
ของผมแฟร์ๆเลยให้ตามประเภทงาน
ไอ้ค่าแรงขั้นต่ำ300นี่ ผมให้เฉพาะงานแบบกระจอกๆเท่านั้นปัดกวาดเช็ดถู นั่งๆนอนๆเฝ้าร้านผมให้เท่านี้หมด ถ้าเป็นพม่ามาบอกเชื่อมได้งานหนักได้ผมให้มากกว่าขั้นต่ำอยู่แล้ว
ผมมองว่าไอ้ค่าแรงขั้นต่ำ คือเป็นเงินใช้จ้างงานแบบไม่ต้องใช้ทักษะอะไรเลยแลกมาถึงจะได้เท่านี้
ไอ้ค่าแรงขั้นต่ำ300นี่ ผมให้เฉพาะงานแบบกระจอกๆเท่านั้นปัดกวาดเช็ดถู นั่งๆนอนๆเฝ้าร้านผมให้เท่านี้หมด ถ้าเป็นพม่ามาบอกเชื่อมได้งานหนักได้ผมให้มากกว่าขั้นต่ำอยู่แล้ว
ผมมองว่าไอ้ค่าแรงขั้นต่ำ คือเป็นเงินใช้จ้างงานแบบไม่ต้องใช้ทักษะอะไรเลยแลกมาถึงจะได้เท่านี้
# Fri 19 Jan 2018 : 3:56PM
ออ มีอีกเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงกันคือ ต้นทุนการศึกษา ของบ้านเรามันสูงมาก ใครมีลูกมีหลานจะเข้าใจ ค่าใช้จ่าย ค่าเรียนพิเศษ โน่นนี่ รายจ่ายมันเป็นเงินเยอะมาก
เวลาพูดถึงเรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิต ก็มักจะมีคนพูดเรื่องนี้ คือบวกลบคูณหาร พ่อแม่บางคนบอกไม่คุ้ม
เวลาพูดถึงเรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิต ก็มักจะมีคนพูดเรื่องนี้ คือบวกลบคูณหาร พ่อแม่บางคนบอกไม่คุ้ม
# Fri 19 Jan 2018 : 8:22PM
ผมบอกไว้ก่อนนะว่า เมนท์ก่อนที่ได้ถูกใจไปเยอะมันเป็นความรู้สึกมุมมองผมซึ่ง ถ้าใครมีมุมมองอื่นก็แถลงแบบทรนินได้เพราะเราต้องการความเห็นที่หลากหลาย มากกว่าที่จะมาแสดงความเห็นแล้วมาบอกว่าของตัวเองถูกที่สุดแย้งไม่ได้
เราถกกันเพื่อจะได้มุมมองใหม่ๆ แล้วจะได้เอามาวิเคราะห์ปรับใช้กันครับ
เรื่องที่บอกต้องปรับการศึกษา ก็มีคนบอกว่าไม่จำเป็นด้วย เราก็ว่ากันไป คือผมได้แนวคิดจากพ่อแม่ ผมก็ทำแบบนี้ แต่พ่อแม่คนอื่นเขาอาจจะสอนกันแบบอื่นก็ได้ แต่ที่สำคัญคืออยากให้มารวมหัวกันพูดหลายแง่ คนฟังจะได้เลือกเองว่าทำยังไงดีสุดสำหรับเขา
เราต้องการสังคมอุดมปัญญา มากกว่าพื้นที่แสดงอัตตาว่าตัวเองเก่งสุด คิดเลิศสุด
เรื่องค่าแรง ผมเป็นฝ่ายที่เลือกให้คนไทยได้มากกว่า เวลาเนื้องานเท่ากันครับ เพราะ ต้างด้าวเขาเป็นคนอื่นเขาเลือกมาทำงานในไทยเพราะคิดว่าไทยให้อะไรมากกว่าที่บ้านเขา (ไม่ได้คิดถึงขนาดว่าต้องได้ค่าแรงเท่าคนไทย,ที่อ้างว่าทำเท่ากันได้เท่ากัน มันเป็นการพูดให้ตัวเองได้ประโยชน์แค่นั้น) แต่ถ้าเกิดวิกฤติ ศก.,สงคราม จนเขาทำงานไม่ได้ เขาก็กลับบ้านเกิดเขาไม่มาลำบากกับเรานี่นา แต่คนไทยยังต้องส่งลูกหลานไปเสี่ยงตายไปรบ ไปเป็นทหารปกป้องสิ่งที่เป็นของเรา
เอาเป็นว่าตอนนี้บ้านเราสบาย ต่างด้าวเขาแค่เข้ามาอยู่ชั่วคราวเอาแรงงานแลกเป็นค่าจ้าง Win-win แต่ถ้ามีวิกฤติ เขาไม่Win เขาหนีได้ แต่คนไทยก็ต้องทนอยู่ เสียสละมากกว่า ก็ควรได้ค่าแรงมากกว่าในเรื่องนี้
ถ้าต่างด้าวคนไหนบอกอยากได้เท่าคนไทยก็ให้มันเซ็นว่าถ้ามีสงครามมันต้องไปเกณฑ์ทหาร,ส่งลูกชายที่อายุในเกณฑ์ ไปรบเสี่ยงเหมือนคนไทยสิ้ ซึ่งกองทัพคงไม่ยอมเพราะขาดเอกภาพ
เราถกกันเพื่อจะได้มุมมองใหม่ๆ แล้วจะได้เอามาวิเคราะห์ปรับใช้กันครับ
เรื่องที่บอกต้องปรับการศึกษา ก็มีคนบอกว่าไม่จำเป็นด้วย เราก็ว่ากันไป คือผมได้แนวคิดจากพ่อแม่ ผมก็ทำแบบนี้ แต่พ่อแม่คนอื่นเขาอาจจะสอนกันแบบอื่นก็ได้ แต่ที่สำคัญคืออยากให้มารวมหัวกันพูดหลายแง่ คนฟังจะได้เลือกเองว่าทำยังไงดีสุดสำหรับเขา
เราต้องการสังคมอุดมปัญญา มากกว่าพื้นที่แสดงอัตตาว่าตัวเองเก่งสุด คิดเลิศสุด
เรื่องค่าแรง ผมเป็นฝ่ายที่เลือกให้คนไทยได้มากกว่า เวลาเนื้องานเท่ากันครับ เพราะ ต้างด้าวเขาเป็นคนอื่นเขาเลือกมาทำงานในไทยเพราะคิดว่าไทยให้อะไรมากกว่าที่บ้านเขา (ไม่ได้คิดถึงขนาดว่าต้องได้ค่าแรงเท่าคนไทย,ที่อ้างว่าทำเท่ากันได้เท่ากัน มันเป็นการพูดให้ตัวเองได้ประโยชน์แค่นั้น) แต่ถ้าเกิดวิกฤติ ศก.,สงคราม จนเขาทำงานไม่ได้ เขาก็กลับบ้านเกิดเขาไม่มาลำบากกับเรานี่นา แต่คนไทยยังต้องส่งลูกหลานไปเสี่ยงตายไปรบ ไปเป็นทหารปกป้องสิ่งที่เป็นของเรา
เอาเป็นว่าตอนนี้บ้านเราสบาย ต่างด้าวเขาแค่เข้ามาอยู่ชั่วคราวเอาแรงงานแลกเป็นค่าจ้าง Win-win แต่ถ้ามีวิกฤติ เขาไม่Win เขาหนีได้ แต่คนไทยก็ต้องทนอยู่ เสียสละมากกว่า ก็ควรได้ค่าแรงมากกว่าในเรื่องนี้
ถ้าต่างด้าวคนไหนบอกอยากได้เท่าคนไทยก็ให้มันเซ็นว่าถ้ามีสงครามมันต้องไปเกณฑ์ทหาร,ส่งลูกชายที่อายุในเกณฑ์ ไปรบเสี่ยงเหมือนคนไทยสิ้ ซึ่งกองทัพคงไม่ยอมเพราะขาดเอกภาพ
[Edited 3 times Godzeus - Last Edit 2018-01-19 20:38:03]
# Fri 19 Jan 2018 : 8:54PM
เห็นว่ามีแววจะได้เลือกตั้งปี 62 กันซะแล้ว ยังไม่ทันพ้นเดือนแรก
# Sat 20 Jan 2018 : 12:03AM
ดูท่าไม่อยากออกหรอก
หาเรื่องพูดไปเรื่อย
หาเรื่องพูดไปเรื่อย
Like : kirari
# Sat 20 Jan 2018 : 7:27AM
ทัศนคติของคนระดับรากหญ้า กับคนที่ประสบความสำเร็จ
อันนี้คนเขียน (ray dalio) เป็น hedge fund manager ความรวยอยู่ใระดับตระกูล cp รวมกันหมด
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 โดย ANONTAWONG MARUKPITAK
[Link]
[Link]
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2
ตอนนี้ผมกำลังอ่านหนังสือ Principles ของ Ray Dalio อยู่ครับ
เป็นหนังสือที่คุณรวิศ หาญอุตสาหะ CEO ของศรีจันทร์บอกว่ามันคือหนังสือที่ดีที่สุดที่เขาได้อ่านในปีที่ผ่านมา
ช่วงนี้ผมจึงอาจจะมีพูดถึงเนื้อหาที่มาจากหนังสือเล่มนี้บ่อยหน่อยนะครับ
เค้าว่ากันว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามแต่ มันจะมีผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง (first-order consequence) และผลลัพธ์ขั้นที่สองเสมอ (second-order consequence)
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 คือผลลัพธ์ที่เห็นกันจะจะ ตรงไปตรงมา ส่วนผลลัพธ์ขั้นที่ 2 คือสิ่งที่จะตามมาในภายหลัง และบางทีก็มีผลลัพธ์ขั้นที่ 3 ที่ตามมาหลังจากนั้นอีก
ยกตัวอย่างเช่น
การกระทำ – ยกเวต
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – ปวดกล้ามเนื้อ ระบมไปทั้งตัว
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – กล้ามเนื้อแข็งแรง ร่างกายบึกบึน
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – มีความมั่นใจมากขึ้น มีสาวๆ (หรือหนุ่มๆ) มาติดพันมากขึ้น
การกระทำ – แบ่งเงิน 15% ทุกเดือนเอาไว้ซื้อกองทุน LTF
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – มีเงินจับจ่ายน้อยลง ต้องเก็บตังค์นานขึ้นเพื่อซื้อมือถือใหม่
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – มีเงินก้อน ประหยัดภาษีได้ปีละหลายหมื่นบาท
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – เก็บเงินครบล้านได้เร็วกว่าที่คิด
การกระทำ – สูบบุหรี่
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – คลายเครียด ได้เมาธ์มอยกับเพื่อน
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – ปากมีกลิ่น เปลืองตังค์
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – มะเร็ง
การกระทำ – กินของหวาน
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – อร่อย ฟิน ได้ถ่ายรูปอวดเพื่อน
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – น้ำหนักเพิ่มขึ้น เงินในกระเป๋าลดลง
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – น้ำตาลในเลือดสูง
การกระทำ – รถปาดหน้าเลยปาดหน้ากลับ
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – สะใจ
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – ทะเลาะเบาะแว้งติดคุกติดตาราง
ถ้าผลลัพธ์ขั้นที่ 1 เป็นบวก ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 & 3 มักจะเป็นลบ
ถ้าผลลัพธ์ขั้นที่ 1 เป็นลบ ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 & 3 มักจะเป็นบวก
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จคือคนที่ให้น้ำหนักกับผลลัพธ์ขั้นที่ 1 มากไป และให้น้ำหนักกับผลลัพธ์ขั้นที่ 2 น้อยไป
พอลองฝึกวิ่งแล้วปวดน่อง หรือคุมอาหารแล้วทรมานตอนดึก เขาก็เลยล้มเลิกเอาง่ายๆ เพราะใจดันไปจดจ่อกับผลลัพธ์ขั้นที่ 1 จนลืมนึกถึงผลลัพธ์ขั้นที่ 2
ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จ คือคนที่เข้าใจว่าแม้ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 ไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่ แต่ก็พร้อมจะยอมทนเพราะผลลัพธ์ขั้นที่ 2 มันคุ้มค่า
สูตรความสำเร็จในชีวิตจึงอาจเรียบง่ายกว่าที่คิด
นั่นคือ ถ้าอยากมีชีวิตที่ดี ให้ใส่ใจกับผลลัพธ์ขั้นที่ 2 ให้มากๆ ครับ
อันนี้คนเขียน (ray dalio) เป็น hedge fund manager ความรวยอยู่ใระดับตระกูล cp รวมกันหมด
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 โดย ANONTAWONG MARUKPITAK
[Link]
[Link]
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2
ตอนนี้ผมกำลังอ่านหนังสือ Principles ของ Ray Dalio อยู่ครับ
เป็นหนังสือที่คุณรวิศ หาญอุตสาหะ CEO ของศรีจันทร์บอกว่ามันคือหนังสือที่ดีที่สุดที่เขาได้อ่านในปีที่ผ่านมา
ช่วงนี้ผมจึงอาจจะมีพูดถึงเนื้อหาที่มาจากหนังสือเล่มนี้บ่อยหน่อยนะครับ
เค้าว่ากันว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามแต่ มันจะมีผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง (first-order consequence) และผลลัพธ์ขั้นที่สองเสมอ (second-order consequence)
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 คือผลลัพธ์ที่เห็นกันจะจะ ตรงไปตรงมา ส่วนผลลัพธ์ขั้นที่ 2 คือสิ่งที่จะตามมาในภายหลัง และบางทีก็มีผลลัพธ์ขั้นที่ 3 ที่ตามมาหลังจากนั้นอีก
ยกตัวอย่างเช่น
การกระทำ – ยกเวต
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – ปวดกล้ามเนื้อ ระบมไปทั้งตัว
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – กล้ามเนื้อแข็งแรง ร่างกายบึกบึน
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – มีความมั่นใจมากขึ้น มีสาวๆ (หรือหนุ่มๆ) มาติดพันมากขึ้น
การกระทำ – แบ่งเงิน 15% ทุกเดือนเอาไว้ซื้อกองทุน LTF
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – มีเงินจับจ่ายน้อยลง ต้องเก็บตังค์นานขึ้นเพื่อซื้อมือถือใหม่
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – มีเงินก้อน ประหยัดภาษีได้ปีละหลายหมื่นบาท
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – เก็บเงินครบล้านได้เร็วกว่าที่คิด
การกระทำ – สูบบุหรี่
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – คลายเครียด ได้เมาธ์มอยกับเพื่อน
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – ปากมีกลิ่น เปลืองตังค์
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – มะเร็ง
การกระทำ – กินของหวาน
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – อร่อย ฟิน ได้ถ่ายรูปอวดเพื่อน
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – น้ำหนักเพิ่มขึ้น เงินในกระเป๋าลดลง
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – น้ำตาลในเลือดสูง
การกระทำ – รถปาดหน้าเลยปาดหน้ากลับ
ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 – สะใจ
ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 – เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
ผลลัพธ์ขั้นที่ 3 – ทะเลาะเบาะแว้งติดคุกติดตาราง
ถ้าผลลัพธ์ขั้นที่ 1 เป็นบวก ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 & 3 มักจะเป็นลบ
ถ้าผลลัพธ์ขั้นที่ 1 เป็นลบ ผลลัพธ์ขั้นที่ 2 & 3 มักจะเป็นบวก
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จคือคนที่ให้น้ำหนักกับผลลัพธ์ขั้นที่ 1 มากไป และให้น้ำหนักกับผลลัพธ์ขั้นที่ 2 น้อยไป
พอลองฝึกวิ่งแล้วปวดน่อง หรือคุมอาหารแล้วทรมานตอนดึก เขาก็เลยล้มเลิกเอาง่ายๆ เพราะใจดันไปจดจ่อกับผลลัพธ์ขั้นที่ 1 จนลืมนึกถึงผลลัพธ์ขั้นที่ 2
ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จ คือคนที่เข้าใจว่าแม้ผลลัพธ์ขั้นที่ 1 ไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่ แต่ก็พร้อมจะยอมทนเพราะผลลัพธ์ขั้นที่ 2 มันคุ้มค่า
สูตรความสำเร็จในชีวิตจึงอาจเรียบง่ายกว่าที่คิด
นั่นคือ ถ้าอยากมีชีวิตที่ดี ให้ใส่ใจกับผลลัพธ์ขั้นที่ 2 ให้มากๆ ครับ
Like : Godzeus, dukedick, Narl, Exodist, marcust, RedRaven, toranin
[Edited 3 times Sukoy - Last Edit 2018-01-20 08:26:52]
View all 3 comments >
Sat 20 Jan 2018 : 7:53AM
ก่อนจะคิดตกว่าตัวเองควรทำอะไรบ้าง ให้ดีต่อชีวิตมันยากมากนะครับ.
คือถ้าเป็นคนที่อารมณ์ดี มีสมาธิมีเวลาว่างมันก็ง่าย
แต่ถ้าเป็นคนเครียด งานเยอะจนไม่ว่าง รับรองได้เลยว่าเลือกทางที่ผิดเกินครึ่งแน่นอน
ถ้าชอบผลประโยชน์ตรงหน้าแล้วไปลำบากทีหลัง เป็นลักษณะเฉพาะก็เอวัง. เข้าสำนวน "ดื่มยาพิษดับกระหาย". "ล้มต้นมะม่วงเพื่อเก็บมะม่วง: มหาชนก"
ถ้าไปอ่านซีรีย์ สอนลูกรวย เล่มเงินสี่ด้าน จะเข้าใจว่าคนรวยจะเน้นใช้เงินใส่ในส่วนที่แน่ใจว่าทำเงินงอกเงยได้เป็นหลัก. (ใช้เงินทำงานนั่นแหล่ะ ) ซึ่งจริงๆแล้วคนไทยทุกคนมันคงไม่ควรมาเป็น"คนรวย" กันหมดประเทศ ถอนเงินมาโปะหุ้น,อสังหาฯ ให้เงินมันเฟ้อไป 200-300% หรอก.
บางคนทำงานให้มันดี ดีแค่ด้านเดียวให้มันสุดทาง แบบดารา นักกีฬา นักออกแบบ นักดนตรี. ศิลปิน ให้รายได้มันสูงมากๆในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตก็พอ. แล้วเก็บทรัพย์สินให้ดี มันก็พอเหมือนกัน. ถ้าเข้าใจเรื่องใช้เงิน ว่าอย่าไปลงทุนกับของที่มีภาระผูกพันธ์ ที่ต้องจ่ายโปะไปเรื่อยๆ
คือถ้าเป็นคนที่อารมณ์ดี มีสมาธิมีเวลาว่างมันก็ง่าย
แต่ถ้าเป็นคนเครียด งานเยอะจนไม่ว่าง รับรองได้เลยว่าเลือกทางที่ผิดเกินครึ่งแน่นอน
ถ้าชอบผลประโยชน์ตรงหน้าแล้วไปลำบากทีหลัง เป็นลักษณะเฉพาะก็เอวัง. เข้าสำนวน "ดื่มยาพิษดับกระหาย". "ล้มต้นมะม่วงเพื่อเก็บมะม่วง: มหาชนก"
ถ้าไปอ่านซีรีย์ สอนลูกรวย เล่มเงินสี่ด้าน จะเข้าใจว่าคนรวยจะเน้นใช้เงินใส่ในส่วนที่แน่ใจว่าทำเงินงอกเงยได้เป็นหลัก. (ใช้เงินทำงานนั่นแหล่ะ ) ซึ่งจริงๆแล้วคนไทยทุกคนมันคงไม่ควรมาเป็น"คนรวย" กันหมดประเทศ ถอนเงินมาโปะหุ้น,อสังหาฯ ให้เงินมันเฟ้อไป 200-300% หรอก.
บางคนทำงานให้มันดี ดีแค่ด้านเดียวให้มันสุดทาง แบบดารา นักกีฬา นักออกแบบ นักดนตรี. ศิลปิน ให้รายได้มันสูงมากๆในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตก็พอ. แล้วเก็บทรัพย์สินให้ดี มันก็พอเหมือนกัน. ถ้าเข้าใจเรื่องใช้เงิน ว่าอย่าไปลงทุนกับของที่มีภาระผูกพันธ์ ที่ต้องจ่ายโปะไปเรื่อยๆ
[Edited 1 times Godzeus - Last Edit 2018-01-20 08:14:23]
Sat 20 Jan 2018 : 10:20AM
เป็นแนวคิดที่ดีครับ แต่ให้ทำกับทุกเรื่องทุกวันคงไม่ไหว ผมเอาเป็นทางสายกลางให้มีวันฟุ่มเฟือยบ้างอาทิตย์ละวันสองวัน ไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง ไม่เป็นหนี้ มีเงินเก็บพอละ55+
[Edited 2 times dukedick - Last Edit 2018-01-20 10:52:16]
Sat 20 Jan 2018 : 11:14AM
เค้าให้ระลึกไว้ครับ บางอย่างขั้นที่ 1 ดี ขั้นที่ 2 ไม่ดี แต่มันเล็กน้อย (รวมๆ คือ มันคุ้ม) ก็ทำไปเถอะ
Like : toranin, dukedick
# Sat 20 Jan 2018 : 11:23AM
เจาะ ศก หลังจากนี่ โดย พ่อหมอกับ จอนวิญญู
วิเคราะห์ว่า
แล้วก็เริ่มมีข่าวตั้งแต่ ต้นปีแล้วนะ ว่า เลือกตั้งอาจจะต้นปี 62 แทน ไม่รู้ว่า พวกนักเมืองเดิม จะยอมไหม
ดูที่ท่า เคืองตั้งแต่ ตั้งกฏ โคตรเสียเปรียบ ตั้งแต่ปลายปี ที่แล้วละ
หวังว่าปี 61 คงราบรื่นนะ
วิเคราะห์ว่า
1 ราคาหุ้นมันสูงเพราะ เงินในฝาก ธนาคาร ไม่ได้หมุนอยากทีคิด เลยเอาเล่นหุ้นแทน (ซึ่งบอกว่ามันก็คือเล่น หวยแบบคนรวยนั้นแหละ เพราะไม่มีผลต่อการผลิตเท่าไร) และราคาน้ำมันขึ้นช่วงปลายปี ราคาหุ้นสาย พลังงานเลยคึกคัก (ซึ่งราคามันสูง คนทั่วไปไม่เล่นอยู่แล้ว )
2 การจับจ่ายใช้สอย ประชาชนยังอยู่ในเกณฑ์น้อย (หรือจะเก็บไว้สำหรับ ตรุษจีน ก็ได้ )
3 เงินลงทุน ของ เศรษฐีไทย ไปลงกับ การลงทุน แบบ ปานามา paper เกือบครึ่งเลยจากลงทุนหลัก อืม
4 EEC นี่ข้อระเบียบแบบนี่ ระดับถ้าเป็น รัฐบาลนักการเมือง ประท้วงเละเทะละ เลยให้ผลประโยชน์ผู้ลงทุนขนาดนั้น นี่
2 การจับจ่ายใช้สอย ประชาชนยังอยู่ในเกณฑ์น้อย (หรือจะเก็บไว้สำหรับ ตรุษจีน ก็ได้ )
3 เงินลงทุน ของ เศรษฐีไทย ไปลงกับ การลงทุน แบบ ปานามา paper เกือบครึ่งเลยจากลงทุนหลัก อืม
4 EEC นี่ข้อระเบียบแบบนี่ ระดับถ้าเป็น รัฐบาลนักการเมือง ประท้วงเละเทะละ เลยให้ผลประโยชน์ผู้ลงทุนขนาดนั้น นี่
แล้วก็เริ่มมีข่าวตั้งแต่ ต้นปีแล้วนะ ว่า เลือกตั้งอาจจะต้นปี 62 แทน ไม่รู้ว่า พวกนักเมืองเดิม จะยอมไหม
ดูที่ท่า เคืองตั้งแต่ ตั้งกฏ โคตรเสียเปรียบ ตั้งแต่ปลายปี ที่แล้วละ
หวังว่าปี 61 คงราบรื่นนะ
[Edited 3 times RedRaven - Last Edit 2018-01-20 11:36:36]
<<
<
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
>
>>
Reply
Vote
Popular Thread
4 online users
Logged In :
Logged In :
member
Since 9/1/2007
(1143 post)