เครื่องในที่นี้คือทั้ง ps4 กับ ps5 ครับ

res สิครับ เฟรมเลตมันลดทอนบางอย่าง เพื่อให้เฟรมเรตวิ่งให้นิ่งที่สุดตามค่าที่ต้องการครับ

ถ้าผิดท่านอื่นแก้ไขด้วยนะครับ

พูดยากเป็นคอนโซลเลยไม่แน่ใจ

แต่ PC การดึงเฟรมเยอะๆก็ทำให้เครื่องทำงานหนักได้เหมือนกัน ต่อให้ลดเอฟเฟคนู่นนี่นั่นก็เถอะ หลายๆเกมปรับสุดๆแต่ 30fps นี่การ์ดกะ cpu ร้อนน้อยกว่า ปรับกากๆ 60fps เต็มๆเยอะ

คงต้องดูเป็นเกมๆ ไป แต่โดยปรกติบน pc ยิ่งเฟรมเรตเยอะ gpu usage ยิ่งขึ้นเยอะ
ผมใช้จอ 144hz มี gsync ปกติจะไม่เปิด vsync ในเกม ปล่อยเฟรมเรตไหล เพราะ gsync มันจะดูแลเรื่อง tearing อยู่แล้ว แต่บางเกมเล่นแบบนี้แล้วการ์ดจอร้อนมากจนรำคาญเสียงพัดลม ต้องไปปรับ vsync ในเกมหรือใน nvidia control panel เอาเพื่อลดเฟรมเรตลงมาที่ 60

ตามทฤษฎี Resolution มันเพิ่มขึ้นทีละ 4 เท่า จาก Full HD ไป 4k จาก 4k ไป 8k

แต่ในความเป็นจริง 4k หลายๆเกมยุคนี้มันก็คือการ Upscale เฉยๆ แล้วเหลาขอบให้คมขึ้น แต่โมเดล Texture ก็ทำไว้รองรับ Res ที่ต่ำกว่านั้นมันเลยไมไ่ด้ใช้พลังงาน 4 เท่าจากปกติ

ทั้ง 2 โหมดต่างกัน
Resolution จะสนใจที่ความละเอียดของของหน้าจอคงที่ เช่น 4k ,2k โดยเฟรมเรทที่ได้มักจะคงไว้ที่ 30 fps กราฟฟิคจะปรับลดเพื่อคงเฟรมให้คงที่มากที่สุด การ์จอจะทำงานเต็มที่
Framerate mode จะเน้นที่ดันเฟรมเรท ถ้าเป็นเครื่องเจนใหม่ พยายามจะดันให้ได้ 60 fps(อาจจะเฉพาะตอนนี้มั้ง) ทุกๆเครื่อง console จะใช้ Dynamic Resolution แน่นอนไม่รันถึง 4k และปรับลดกราฟฟิคลงเพื่อคงเฟรม 60 fps

โหมดภาพสวยงาม(แล้วแต่จะเรียก) ใช้ Dynamic Resolution (ไม่ 4k )+ กราฟฟิคเปิดเต็ม โดยส่วนมาก จะคงไว้ที่ 30 เฟรม โหมดนี้จะกินไฟเยอะสุด

เอาง่ายๆ มันก็ใช้ทรัพยากรเครื่องเตีมที่ทั้งคุ่ แต่เลือกว่าจะใช้ด้านไหน

เทียบง่ายๆ เช่น
คุณมีงบซื้ออกาแฟ 1000 บาท ต่อเดือน
ถ้าคุณซื้อ starbuck แก้วละ 100 บาทคุณจะซื้อได้ 10 แก้วต่อเดือน
ถ้าคุณซื้อกาแฟตลาดนัด แก้วละ 25 บาท คุณจะซื้อได้ 40 แก้วค่อเดือน

แบบแรก คุณจะได้กาแฟต่อเดือนน้อย แต่อร่อยมาก (สมมติว่า starbuck มันอร่อยมากละกัน) เทียบได้กับ resolution mode หรือ quality mode (ภาพสวย แต่ framerate น้อย)
แบบหลัง คุณจะได้กาแฟ ที่รสชาดด้อยลงมา แต่ได้จำนวนแก้วเยอะ เทียบได้กับ framerate mode หรือ performance mode (ภาพสู้แบบแรกไม่ได้ แต่ framerate เยอะกว่า)

ถ้าว่าอันไหนใช้เงินมากกว่ากัน มันใช้เงินเท่ากันครับ อยู่ที่ว่าจะเน้นด้านไหน

นอกประเด็นหย่อยครับ

ตั้งแต่ผมเล่น 60 Fps ก็ไม่กลับไป 30 Fps อีกเลย ต่อให้ละเอียดไม่เท่าแต่เวลาเล่นแล้วมุมกลัองไวๆ ภาพมันไม่เบลอทำให้รวมๆภาพมันคมกว่าซะงั้นครับ

แต่ 120 fps นี่ลื่นเกินแปลกๆ

ผมว่าเค้าคง optimize ให้ใช้ทรัพยากรเท่าๆกันมั้ง

2160P 30 fps

1440P 60 fps แทนที่จะเป็น 1080P 60 fps

อะไรทำนองนี้

ต้องมีจุดอ้างอิงก่อน ถ้าไม่มีเลยมันเทียบยาก
ถ้าบน PS4 ก็ให้ assume ไปว่ามันพอกัน 4k30 1080p60 (แต่อาจจะหนักคนละอย่าง)
คิดเล่นๆ ไม่ต้องจริงจัง จริงๆมันน่าจะมีรายละเอียดเยอะกว่านี้แหละ
4k30 = 3840x2160x30 = 248,832,000 pixel
1080p60 = 1920x1080x60 = 124,416,000 px
ในแง่ pixel ที่ต้องเรนเดอร์ 4k30 ตัว GPU ทำงานหนักกว่า
ในแง่ game logic ที่ต้องคำนวณ 1080p60 ตัว CPU ทำงานหนักกว่า

คำถามคือ PS5 มีแรงอยู่ 100 ถ้าเปิด Performance กินแรง 95 เปิด Resolution กินแรง 98 หมายความว่า Resolution ใช้แรงเครื่องเยอะกว่าอย่างนี้รึเปล่าครับ

อันนี้น่าจะแล้วแต่ว่าปรับให้ lock frame rate ไว้มั้ย กรณีที่ uncapped frame rate ไม่ว่าโหมดไหนก็น่าจะใช้แรงเครื่องได้เต็ม 100 เพราะถ้าฉากไหนแรงเครื่องเหลือจะถูกเอามาใช้เพิ่ม Frame rate

แต่กรณีที่ Lock ไว้เช่น โหมด Fidelity แล้วล๊อค framerate ไว้ที่ 30 ต่อให้ช่วงไหนแรงเหลือก็ไม่ยอมให้ขึ้นไป 31-40 fps
หรือกรณีที่เล่นโหมด Performance แล้วโดนล๊อคไว้ที่ 60 แรงเหลือก็ไม่ขยับไปที่ 61-120 fps อันนี้จะวัดกันไม่ได้ละ

ขึ้นอยู่กับผู้พัฒนาจะปรับแต่งเกมออกมาได้ใกล้เคียงเป้าแค่ไหน บางเกมปรับมาดีก็กินแรงไปซัก 80-90% บางเกมผู้พัฒนามักง่าย โหมด Fidelity ก็กินแรงไปซะ 120 ทั้งที่เครื่องมีแรงอยู่ 100 เดียวก โหมด Performance ก็ปิด option ไปเยอะเผื่อไว้จนกินแรงแค่ 50%

ดังนั้นถ้าเกมวิ่งนิ่งเราจะไม่รู้เลยว่าโหมดไหนกินแรงเครื่องเต็มที่กว่า เพราะมันไม่เหมือน PC ที่มีตัววัดว่า CPU, GPU วิ่งกี่%
ในแต่ละโหมดของแต่ละเกม

แต่ถ้าเกมไหน มีโหมดไหนที่ทำ Framerate ตกบ่อยๆ นี่น่าจะพอเดาได้ว่าใช้แรงเครื่องเต็ม 100 หรืออาจจะเกิน 100 (ถ้าไม่ใช่ bug)

ผมชอบแบบภาพลื่นๆนะ 60 Fps เล่นแล้วไม่เวียนหัว ภาพไม่กะตุก ไม่ต้องสวยมากก็ได้ สมัยเด็ก 8 บิท ยังเล่นได้ทั้งวัน..55