Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
เล่าประสบการ์ณการ รับมือเรื่อง บุพการีเสียชีวิต จนถึงการรับมรดก

<<
<
1
Reply
Vote
# Wed 18 Jan 2023 : 11:14PM

Godzeus
member
หม้อดีตีแล้วฟิน
Since 2012-12-04 21:26:30
(4631 post)
วันนี้จะมาใส่เรื่องที่คนวัยพวกเรา ที่ประมาณ 35-45 ปีเจอกันบ่อยเรื่อง มรดกนะครับเพราะผมนี่วิ่งวุ่นมาหลายวันเรื่องหลักฐาน กับหน่วยงานราชการตั้งหลายที่ เลยอยากมาลงไว้เป็นบันทึก กับอ้างอิงให้คนอื่นเตรียมตัวกัน


เรื่องการรับมรดก ,ที่ดิน ,เงินในบัญชีธนาคาร

จริงๆจะต้องมีการ ไปศาลเพื่อ ขอเป็นผู้จัดการมรดกก่อนแต่วันนี้เอา ตอนไปเดินเรื่องเปลี่ยนชื่อเจ้าของทรัพย์ก่อน

1. ที่ดิน +สิ่งปลูกสร้าง ควรจะโอนพร้อมกันจะสะดวกกว่า
หลักฐาน
1.1 ใบมรณะบัตร
1.2 พินัยกรรม
1.3 โฉนดที่ดิน
1.4 ใบขออนุญาติก่อสร้าง (ได้จากสำนักงานเขต)
1.5 ใบขอเลขที่บ้าน
1.6 ทะเบียนบ้าน ของอาคารที่อยู่บนโฉนด
1.7 บัตรประชาชนของคนรับมรดก
1.8 คำสั่งศาล ผู้จัดการมรดก
1.9 ใบรับรองคดีถึงที่สุด เรื่องผู้จัดการมรดก (จากศาลมันจะมีสองใบคือตอนที่เราไปศาลครั้งแรกเพื่อให้ศาลตัดสินและรอ 30 วันประกาศให้ผู้อื่นคัดค้าน เมื่อถึงกำหนดแล้ว ศาลจะออกให้อีกใบเป็นการรับรองคดีถึงที่สุด)
.......สิ่งที่เกิดกับผมคือ ใบขออนุญาติก่อสร้าง,ใบขอเลขที่บ้าน ผมหาไม่เจอต้องไปทำการ ขอคัดลอกเอกสารที่เขตแล้วเขาจะปั้มตรา รับรองกับวันที่ใหม่ เลยอยากบอกไว้ตรงเรื่องนี้คนอื่นจะได้ไม่เสียเวลาเพิ่มกันนะครับ
....... อีกเรื่องคือผมได้รับ ใบคำสั่งศาลตั้งแต่ เดือน มิถุนายน 2565 แต่ผมใจเย็นรอยันข้ามปีแล้วค่อยไปทำเรื่องต่อทำให้เกิดปัญหาเพิ่มมาคือ ที่กรมที่ดินเขาแจ้งว่า ใบรับรองคดีถึงที่สุดของผมใช้ไม่ได้ เพราะเขาจะโทรศัพท์ไปยืนยันกับศาลไม่ได้

.......เหตุที่เกิดเรื่องต้องไปศาลใหม่ ผมเข้าใจว่าระบบการทำงานเป็นแบบนี้ ศาลเขาจะเก็บเอกสารใหม่ ไว้ที่นึงเพื่อให้หน่วยงานอื่นโทรมายืนยันว่าเอกสารเบอร์นี้ ถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้านานไป (1 เดือน )เขาจะไปเก็บอีกที่นึง สิ่งที่ผมต้องไปทำคือ ไปศาลแพ่งของเขต แล้วยื่นเรื่องขอคัดลอกเอกสาร เบอร์+++ คดีดำ+++ คดีแดง นี้ จากคนร้อง เรื่องผู้จัดการมรดกแล้วพนักงานเขาจะไปค้นเอกสารมาพร้อมปั้มตรายืนยันความถูกต้อง ระบุวันไว้ และใช้งานได้ หนึ่งเดือน คนอ่านอย่่าพลาดแบบผมนะครับ ถ้าศาลส่งเอกสาร รับรองคดีถึงที่สุดแล้วก็รีบไปให้เสร็จครับ


เรื่องที่ต้องเตรียมเพิ่มก็จะมีค่าโอน ที่ดินมรดก ที่จะอยู่อัตรา 0.5% ของราคาประเมิณ ล้านนึงจ่าย 5,000 นั่นแหล่ะ+ของอาคารด้วย

2. บัญชีในธนาคาร
หลักฐาน
2.1 ใบมรณะบัตร
2.2 พินัยกรรม
2.3 สมุดบัญชี
2.4 คำสั่งศาล ผู้จัดการมรดก
2.5 ใบรับรองคดีถึงที่สุด เรื่องผู้จัดการมรดก
2.6 บัตรประชาชน ของคนรับมรดก+ คนตาย
2.7 สมุดบัญชีของคนรับมรดก อันนี้มีก็เอามารับโอน แต่เบิกเป็นเชค หรือเข้าธนาคารอื่นก็ได้ (พวกโอนต่างธนาคารมีค่าบริการแพงมาก ไม่ควรทำนะครับ)

........เรื่องเงินในบัญชีนี่จะมีเรื่องย่อยที่เป็นปัญหากับพี่ชายผมอีกตรงที่มีบัญชีกันหลายเล่มและเรื่องการตกลงกันว่าใครจะเอาไปเบิก+พินัยกรรมแต่เดี๋ยวเล่าทีหลัง วันนี้เอาแค่รับมือตอนไปธนาคารกับเบิกเงิน
........วันที่ผมไปถึงพนักงานเขาจะขอหลักฐาน และเจอปัญหาเรื่องที่ "ใบรับรองคดีถึงที่สุด" ของผมใช้ไม่ได้(งกจะให้ข้ามปีเอาดอกเบี้ยก่อน) ผมเลยต้องไปศาลใหม่ให้ยืนยันเพิ่ม พนักงานเขาจะอัฟเดทบุ้ค ครั้งสุดท้ายให้และให้เรากรอกข้อมูลเป็นคนขอรับมรดก (ไม่ต้องกรอกจำนวนเงินก่อนเพราะเดี๋ยวเลขผิด) แล้วเราก็บอกให้เขาจัดการกับเงินว่าจะโอนเข้าบัญชีไหนเงินเงินเท่าไหร่
........ ปัญหาพิเศษของผมคือ ผมเคยเปลี่ยนชื่อ+ ธนาคารเคยมีหลักฐษนชื่อเก่าของผม ตอนเขากรอก เลขบัตรประชาชน+ID ของผมแล้วมันไม่ตครงกับชื่อใหม่ พนักงานเขางงตั้งนาน ถ้าจะให้แนะนำคือถ้าเคยเปลี่ยนชื่อก็บอกให้เขาทำการกรอกข้อมูลส่วนตัวเราให้เป็นชื่อใหม่ก่อนครับ

3. เงินสด ทอง เรื่องจุกจิกแบบที่ดินเปล่า รายได้ต่อเนื่องจากการปล่อยเช่า ที่ไม่ระบุในพินัยกรรม
.......พอดีผมอยู่ในกงสี แต่พี่ชายมีครอบครัวแยก ของส่วนใหญ่ผมเลยรับไว้เอง แต่จะมีทองที่ พี่ชายมันบุกมาหลังงานวันศพ เลยเปิดให้ดูแล้วก็แบ่งครึ่ง-ครึ่ง วันนั้นเลย ถ้าผมเป็นคนมีเหลี่ยมหน่อยผมน่าจะเอาไปซ่อนไว้ซัก ยี่สิบบาทก่อนแล้วเปิดที่เหลือมาแบ่งกัน ฮา


......เรื่องย่อย ตอนที่เปิดพินัยกรรม ผมอาศัยวันหลังงานศพเรียกญาติมาคุยแล้วให้เขาอ่าน ตรงบัญชีธนาคารพ่อผมแบ่ง เท่ากันด้วยบัญชีสองเล่มให้ พี่เล่ม --ผมเล่ม แต่พี่ชายมันมาอีกวันหลังจากนั้น บอกเสนอ ให้ผมเอาเงินสดให้เขา+เปลี่ยนให้ผมถือเล่มที่พินัยกรรมระบุว่าเขาได้ มาให้ผมถือแทน เพราะพี่ชายมันเอาไปเบิกไม่ได้ ธนาคารต้องการหลักฐานคนเป็นผู้จัดการมรดกก่อนถึงจะยอมให้โอน สรุปคือบัญชีธนาคารมันจะโดนฟรีซไว้ทำอะไรไม่ได้จนกว่าจะมีผู้จัดการมรดก ตรงนี้สำคัญตรงที่ผม บอกว่าผมไม่รับข้อเสนอ เพราะผมคิดในใจว่าเกิดผมให้เงินสดไปก่อน แล้วปัญหามันจะเกิดแบบตอนผมเอาบัญชีนี้ไปเบิกเงินมาแล้ว พี่ชาย หรือเมียจะเล่นเหลี่ยม ไปฟ้องศาลแบบ "เฮ้ย บัญชีนี่ระบุไว้แล้วว่าเป็นของกู มึงมาเบิกได้ไง " อันนี้ผมคุยกันสามรอบ งานศพทีนึง บ้านผมทีนึง ไปวัดทำบุญทีนึงผมก็บอกไม่ได้ ให้รอเบิกหลังจากได้ผู้จัดการมรดก(ผมต้องต้องได้เพราะทำกงสี) แล้วผมสัญญาว่าจะไปทำเรื่องให้เรื่องแรก แต่พี่มันดูเหมือนจะหิวเงินมากมันถึงเสนอว่าให้ผมเอาเงินสดไปแลกบัญชีเจ้าปัญหานี้

ครึ่งแรกของปัญหาจบ แล้วผมแนะนำให้ทุกคนที่เจอปัญหาแบบผม ผมแนะนำให้ หาญาติผู้ใหญ่ที่ พี่น้อง ยอมรับให้มาเป็นคนฟัง-แก้ปัญหา ผมได้แก้ปัญหาแบบนี้ึคือ "ยังไงก็ต้องจ้างทนายทำเรื่องผู้จัดการมรดก" ผมเลยต้องเรียกทนายมาตั้งแต่วันนั้นแล้วถามเรื่อง บัญชีเจ้าปัญหาว่าจะเอายังไงดี ทนายก็ถามว่ามีเงินสด+พร้อมจ่ายให้ก่อนไหม? พอผมบอกมีเงินกล้าให้แต่กลัวเสียเหลี่ยม เขาเลยบอกให้เขียนสัญญาเพิ่มมาว่า บันทึกไว้ว่า ผมได้จ่ายเงินสดไปแลกกับสิทธ์ในบัญชีเจ้าปัญหาที่ผมจะเป็นคนเบิก คราวนี้ผมคิดไว้ว่าจะ เล่นพี่ชายผมบ้างผม เลยโทรไปบอกพี่ชายให้ทำสัญญาย่อย เงินแลกบัญชีที่ว่า แล้วผมขอร้อยละสามค่าที่ผมต้องออกเงินสด แต่พี่ชายมันตะโกนว่า "ไม่ได้" ในสายโทรศัพท์เลย ผมเลยถาม "พี่จะได้ล้านนึง น้องก็ขอดีดี สามหมื่นไม่ยอมจ่ายเหรอ" พอบอกไม่ได้อีก ผมเลยบอกว่า "ลองเอาไปคิดก่อน แล้วโทรไปถามกู๋xxx ดูก่อนว่าเพราะกู๋ xxx เราก็เชื่อกันทั้งสองฝ่าย" ผมก็บอกเดี๋ยวอีกครึ่ง ชม.ค่อยว่ากัน พอพี่ผมกับกู๋เขาคุยกันจบเขาก็บอกว่าได้ ผมก็นัดทนายมาทำสัญญาย่อยที่ว่า ++ นัดให้ทนายทำเรื่องผู้จัดการมรดกต่อ (เรียกทนายมาก็ต้องมีค่าจ้างผมโทรไปคุยให้พี่ออกให้ครึ่งนึง ผมออกครึ่งนึง ปกติค่าจ้างทนายเรื่องผู้จัดการมรดกจะเรียกที่ 20,000 บาท นะครับแนะนำให้พี่น้องคุยกันเรียบร้อยว่าแบ่งๆกันกันออกกรณีได้เท่ากันครับ คุยก่อนวันทนายมาจะดีมาก แล้ววันที่ผมไปทำเรื่องโอนเงินเข้าบัญชีตัวเองธนาคารเขาจะยึดเรื่องใบผู้จัดการมรดกมากกว่าพินัยกรรมไอ้บัญชีที่ระบุว่าพี่ต้องเป็นคนรับเงินก็ไม่มีปัญหาอะไร และเขาไม่ถามด้วยผมเบิกออกมาได้สบาย

ตามหลักการถ้าให้พี่ชายผมถือบัญชีไว้ก่อนพอได้ผมเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ผมจะต้องไปธนาคารพร้อมพี่เพื่อเบิกบัญชีพี่ชายถือไว้ เป็นการยืนยันว่าผู้จัดการมรดกขอจัดการบัญชีที่ว่า เบิกเงินออกมาแล้วให้พี่บอกว่าเอาเงินไปใสบัญชีไหนครับ
.....อันนี้มันมักจะมีปัญหาสำหรับคนที่มีหลายบัญชี+ที่ดินหลายที่ แล้วแบ่งกระจายๆกันให้ลูกหลายคน ผู้จัดการมรดกบางคนก็เหลี่ยม บางคนก็งก จะเรียกร้องแบบค่าเสียเวลา ไปเบิกบัญชีกับคนนี้ขอ สองหมื่นไปโอนที่ดินราคาร้อยล้านให้คนนี้ขอสองล้านก็มีมาแล้ว ผมเคยเจอคนเล่าให้ฟังอยู่เพราะฉะนั้นเวลาเลือกผู้จัดการมรดกควรเลือกคนที่เป็นกลาง หรือไม่เห็นแก่เงินกันนะครับไม่งั้นงานหยาบโอนทุกอย่างเข้าตัวด้วย


.....อันนี้ส่วนตัวผมคิดว่าที่ผมเอา 3% เป็นเรื่องที่แฟร์มากเพราะผมเอาเงินสดแลกกับบัญชีที่ฟรีซไว้กว่าจะเบิกได้ต้องอีก หกเดือนต่อมาเลย และผมเองเป็นคนในกงสีอยู่กับพ่อแม่มานาน ผมอยากจะดูใจว่าพี่ชายมันจะนิสัยยังไงด้วย ผมเลยได้ข้อสรุปว่าพี่ชายไม่ใช่คนใจกว้าง+งกเงินเกินกว่าผมคาดหวังไว้ ผมจะได้วางตัวใหม่ไม่ใช่เป็นคนผังอย่างเดียว แล้วให้คนอื่นสั่ง ผมก็ถือว่า ตอนนี้ผมเป็นกัปตันเรือลำที่พ่อแม่ผมขับไว้มาก่อน ส่วนพี่ชายมันขับเรืออีกลำนึงมันจะมาสั่งเอาแต่ได้กับผมไม่ได้
แล้วถ้าพี่ชายผมมันยิ่งหิวเงินเท่าไหร่ 3% จะทำมันไม่ลืมจนวันตายเลย -----ถ้ามันบอกตั้งแต่แรกว่าเออยอมจ่ายซะตั้งแต่ครั้งแรกผมจะได้มีห่วงน้อยกว่านี้เยอะ

ผมกล้าบอกพี่ชายว่าถ้าผมเขียนพินัยกรรมไม่ยกเงินให้ซักบาทอย่ามาว่ากันนะเพราะพ่อแม่ก็ไม่ได้สั่งไว้ก่อน แถมผมก็ขอดีๆ 3% พี่ก็ไม่ให้ด้วยสิ่

...เรื่องย่อยอีกเรื่อง คือ พ่อผมเป็นมะเร็งตับซึ่งระยะเวลาทำใจกับเตรียมตัวช่วงสุดท้ายมันสั้นแถม เวลาใช้ยาลดอาการเจ็บปวดก็ทำให้ไม่มีสติซะด้วยเรื่องของที่ระลึกอย่าง พระ สร้อยแหวน นาฬิกา ก็คุยขอๆเขาไว้ตั้งแต่ตอนมีสติกันนะครับ อย่างผมนี่ลืมขอพระที่เขาเอาไปใส่ประจำ เพราะนึกว่าหายตอนพาเขาเข้า-ออกโรงพยาบาลหลายครั้ง (ตรงนี้ต้องระวังเพราะตอนนอนโรงพยาบาลพ่อผมเขาเพ้ออาละวาดตอนกลางคืนทำให้สายน้ำเกลือหลุดแล้วเลือดเลอะเต็มเตียง พยาบาลก็เปลี่ยนเสื้อให้ ทำให้แกทำกระเป๋าเงินหาย) เป็นไปได้ถ้าตอนป่วยให้ถอด พระ นาฬิกา สร้อย กระเป๋า เงิน ไม่ต้องเอาไปโรงพยาบาลด้วยนะครับ )

วันนี้ผมเพิ่งมาเจอ พระ ตรงบริเวญที่เขาน่าจะถอดไว้ก่อนไปอาบน้ำเอง

เหลือเรื่อง ไปศาลคุยกับทนายเรื่อง ขอทำ ผู้จัดการมรดก ไว้ต่อวันหลัง

การทำเรื่อง ผู้จัดการมรดก
หลักฐาน เขาของคนอื่นมา เรีนกได้ว่าละเอียดสุดๆ ต้องไปเอาใบมรณะบัตรของ ปู่ย่า ตายาย ของผมมายืนยันด้วยว่า ปู่-ย่า ตายก่อนพ่อผม ด้วย


1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาบัตรประจำตัวข้าราชการของผู้ร้อง 4 ชุด
2. สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ร้อง 4 ชุด
3. เอกสารที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร้องกับเจ้ามรดก (ผู้ตาย) 4 ชุด(ทะเบียนสมรส, สูติบัตร ฯ )
4. สำเนาทะเบียนบ้านของเจ้ามรดก (ผู้ตาย) 4 ชุด
5. สำเนาใบมรณะบัตรของเจ้ามรดก (ผู้ตาย) 4 ชุด
6. บัญชีเครือญาติของเจ้ามรดก 4 ชุด
7. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวข้าราชการ และทะเบียนบ้าน ของทายาทผู้ให้ความยินยอม 4 ชุด
8. สำเนาใบมรณบัตรของบิดามารดาของผู้ตาย หรือหนังสือรับรองการตายกรณีบิดามารดาของผู้ตาย (เจ้ามรดก) ถึงแก่ความตาย 4 ชุด
9. สำเนาเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก (ผู้ตาย) 4 ชุด(เช่น โฉนดที่ดิน, สมุดเงินฝาก)
10. หนังสือให้การยินยอมในการร้องขอจัดการมรดกของทายาท 4 ชุด
11. หลักฐานอื่นๆ ถ้ามี (ใบเปลี่ยนชื่อ, ใบเปลี่ยนนามสกุล) 4 ชุด


เรื่องขอเปลี่ยนเจ้าของ มิเตอร์ น้ำประปา ,ไฟฟ้า,โทรศัพท์

พวกนี้ใช้หลักฐานคล้ายๆข้างบน แต่จะมีแบบ ขอทะเบียนบ้านตรงที่เราติดตั้ง น้ำไฟ โรศัพท์ไว้ ถ้าเราเป็นเจ้าบ้านจะทำงานง่ายไม่งั้นก็ต้องรอ ใบรับรองผู้จัดการมรดก เสร็จก่อนแล้วให้ผู้จัดการมรดก ทำเรื่องต่อให้ครับ (ผมมีปัญหาแบบ น้ำ ไฟฟ้า พ่อผมใช้วิธีตัดจากบัญชีธนาคารจ่ายอัตตโนมัติ ผมเวลาเบิกเงินแล้วธนาคารจะผิดบัญชีไป เพราะฉะนั้นเราต้องไปเดินเรื่องที่สำนักงานเขาให้ทำบิลแบบมี บาร์โค้ดส่งมาให้่แทน เราถึงจะจ่ายค่าน้ำไฟได้สะดวกกว่า
[Edited 21 times Godzeus - Last Edit 2023-01-19 01:34:04]


# Fri 20 Jan 2023 : 6:57PM

Godzeus
member
หม้อดีตีแล้วฟิน
Since 2012-12-04 21:26:30
(4631 post)
เรื่องคุยกับทนาย
แนะนำให้ทำหลังงานศพ แล้วเปิดพินัยกรรมกันแบบไม่ดราม่า ก็เรียกมาให้เขาช่วยทำเรื่อง ผู้จัดการมรดกให้ ตามขั้นตอนจะเป็นดังนี้

1. ให้ทนายนัดศาล
2. ก่อนไปศาล ทนายจะนัดมห้เราเตรียมหลักฐาน,คำให้การที่ต้องท่องไปตอนศาลซัก
3. ศาลครั้งแรก เขาจะให้เราเอาหลักฐานส่งให้ศาลพิจารณา +ตอนนี้มีการทำแบบพิจารณาระยะไกลเปิดกล้องคุยกันได้ ก็ต้องไปถ่ายรูปหลักฐานไว้ด่อนส่งไป
4. ศาลจะให้ใบ ตัดสินให้ .....เป็นผู้จัดการมรดก แล้วเก็บใบนี้ไว้เพราะใข้บ่อย
5. รอประกาศ 30 วันถ้าไม่มีคนคัดค้านเรื่องผู้จัดการมรดก ก็จะออกใบรับรองคดีถึงที่สุดให้เรามา

6. เวลาเราไปใช้หลักฐานในการเบิกเงินโอนที่ดิน จะใช้สองใบที่ได้จากศาลมาไปทำงานต่อนะครับ และควรจะรีบทำเพราะเอกสาร มันใช้ได้เดือนนึง

ทั่วไปทนายจะขอค่าจ้าง 20,000 และถ้าเรามีพี่น้องหลายคนก็ตกลงแบ่งกันจ่ายซะจะลงตัวสุด
[Edited 1 times Godzeus - Last Edit 2023-01-20 19:01:07]

# Fri 20 Jan 2023 : 8:11PM

Marnburapa
staff

Since 5/4/2006
(23806 post)
ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ พ่อผมก็ไปเพราะมะเร็งตับเหมือนกัน และไวมากๆ จากเดินเหินได้แป้บเดียว 3 เดือนไปเลยหลังตรวจเจอ

ไม่รู้โชคดีไหม พ่อผมถูกฟ้องล้มละลายไป ผมเลยทิ้งดิ่งเลย งานศพจบคือจบ เชิญธนาคารจัดการไปเองนะ
[Edited 1 times Marnburapa - Last Edit 2023-01-20 20:14:17]
View all 1 comments >

# Mon 23 Jan 2023 : 9:37PM

Sukoy
member

Since 24/6/2005
(15460 post)
ตอนพ่อผมเสีย ไม่ทำพินัยกรรม บ้านผมก็ให้แม่เป็นผู้จัดการมรดกเลย ลูกๆ ก็ไม่เรื่องมาก อะไรที่จัดการยากและใช้เวลาเช่นที่ดิน ก็โอนให้แม่ไปคนเดียวก่อนเลย เวลาจะโอนก็ให้ลูกๆ ทำสัญญายินยอมการโอนให้แม่เวลาไปโอนที่ดินที่สำนักงานที่ดิน

ทรัพย์สินพวกที่แบ่งง่ายและมูลค่าเยอะ เช่นหุ้นบริษัท ก็โอนหุ้นแบ่งกันไปง่ายๆ

แต่มีข้อแนะนำ โดยเฉพาะแนวกงสีที่มีทรัพย์สินเยอะๆ โดยเฉพาะพวกที่ดินและอสังหาฯ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ระหว่างพี่น้องลูกหลานต่อไปในภายภาคหน้า (ซึ่งจะเกิดแน่ๆ)

ที่ดินโดยเฉพาะแปลงที่ใช้ประกอบกิจการ หรือมีการให้เช่ามีรายได้อยู่ ซึ่งที่ดินแบบนี้มันไม่ควรแบ่งด้วยวิธีการแบ่งแปลงโฉนด หรือถ้าไม่แบ่งแปลง โดยทั่วไปก็มักจะให้ผู้รับมรดกเข้ามาเป็นเจ้าของร่วมกัน

การแบ่งแปลง ที่ดินสวยๆ มันอาจจะเสียมูลค่าและเสียโอกาส เกิดมีใครมาซื้อแพงๆ ในอนาคต และการปล่อยให้มีเจ้าของร่วมหลายคน (ถ้าคนรับรุ่นแรกตายอีก ไปอีกรุ่นมันจะงอกเจ้าของร่วมมาอีก) ถ้าเจ้าของคนใดคนหนึ่ง แม้จะมีส่วนได้เสียน้อยๆ ถ้าไม่เห็นด้วยมันก็ขายไม่ได้ ติดคากันไป การแบ่งที่เป็นแปลงแยกกัน ถ้าที่ดินมีการใช้ประโยชน์รวมกันอยู่มันก็ทำแบบนั้นไม่ได้ และถึงจะแบ่งได้ก็จะมาทะเลาะกันว่าแบ่งยังไงให้เป็นธรรมอีก

ถ้าจะให้ดี ที่ดินลักษณะนี้ให้โอนเข้าบริษัท (holding co.) ที่ตั้งขึ้นมาเพิ่อถิอทรัพย์สินซะ เพราะถ้ามันค้างคาอยู่ในรูปทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ต่อไปมันจะจัดการยาก ถ้าลูกหลานคุยกันไม่รู้เรื่อง (ซึ่งพอผ่านไปรุ่น 2 รุ่น 3 มีปัญหาแน่นอน) และมันยังมีภาระภาษีที่ดินด้วย ถ้าชื่อใครคนนั้นต้องจ่าย ถึงจะถือแทนพี่ๆ น้องๆ แต่ทางกฎหมายเขาไม่มารับรู้ด้วย

ปัญหาคือการโอนที่ดินจากบุคคลธรรมดาไปบริษัท มันมีค่าใช้จ่ายพอสมควร เมื่อหลายปีก่อนเขาเปิดข่องให้ปรับโครงสร้าง ให้โอนอสังหาเข้าบ.ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ผมรีบทำเลย ตั้งบ. ใหม่ ให้คุณแม่ถือหุ้น 100% เอาที่ดินแปลงสำคัญๆที่อยู่ในชื่อแม่ โอนเข้าบริษัทไปเลย

ทีนี้ต่อไปถ้าจะต้องแบ่งมรดกกันอีกรอบ ก็ใช้วิธีการแบ่งหุ้นบริษัท holding ง่ายๆ เลย และมันจะไม่ทะเลาะกัน เกิดมีเสียงส่วนน้อยมาเรื่องมาก แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่คุมได้ก็ไม่มีปัญหา สามารถตัดสินโหวตกันให้ชนะเสียงส่วนน้อยได้ เวลาต้องตัดสินใจทำอะไรมันจะไม่ต้องใช้เสียงเอกฉันท์แบบเจ้าของที่ดินร่วม

และการขายที่ดินทั้งหมดถ้าใช้วิธีขายหุ้นบริษัท holdings มันไม่มีค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีแบบโอนที่ดิน เกิดจะขายที่ดินแบบขายทั้งหมด ก็ขายไปทั้งบริษัทเลย ประหยัดค่าโอนเยอะมากๆ แต่จะทำแบบนี้มันก็มีภาระต้องจัดการเรื่องการสอบบัญชีและการยื่นภาษีของบริษัทที่ตั้งมา แต่ถ้าทรัพย์สินมีมูลค่าสูง มีรายได้เยอะ มันคุ้มแน่ เพราะอัตราภาษีบริษัท (20%) น้อยกว่าบุคคลธรรมดาที่อัตราก้าวหน้ามันอาจจะไปถึง 35%
[Edited 2 times Sukoy - Last Edit 2023-01-24 17:13:16]

# Tue 24 Jan 2023 : 2:01PM

Godzeus
member
หม้อดีตีแล้วฟิน
Since 2012-12-04 21:26:30
(4631 post)
ผมบ่นเรื่องที่พี่จะขายหอพัก ที่เป็นชื่อ คล้าย/แม่,แม่ยาย เพราะตอนแรกพ่อเขาสั่งผมไว้ให้รักษาตึก 50% ไว้เผื่อให้หลานทางฝั่งพี่ชายสามคนที่กำลังเรียน ม.ปลายกันอยู่ แรกๆผมก็บอกมันกล้าขายได้ไง และตอนนี้มันก็ขายยาก มาช่วงสอง-สามเดือนหลังจากนั้นผมก็บอกให้ขายตัวที่เป็นชื่อ พี่ชายคนเดียวไปเลย ผมจะได้วุ่นวายน้อยลงซะ

ผมมาคิดอีกทีคนรุ่น Gen x มันจะเป็นแบบนี้แหล่ะตรงที่อยากจะมีอิสระทางความคิดบ้าง ถ้าเขาว่าจะดูแลตึกพลหอพักไม่ไหว บริหารไม่เป็นจะขายก็ตามใจ

ยิ่งเคยฟัง น้าเน้ก เล่าเรื่องตอนเรียนจบ พ่อ,แม่ถามจะทำธุรกิจต่อจากพ่อไหม? พอบอกไม่ทำ พ่อแม่เขาขายกิจการเอาเงินเที่ยวรอบโลกเลย ผมยิ่งเข้าใจว่าบางคนมันอาจจะมีแผนใช้เงินแบบนั้น



อีกเรื่องคือตัวผมเป็นคนที่อยู่กับพ่อแม่มาตลอดจะถือว่าความคิด คำสั่งเขาเป็นใหญ่ แต่ผมเข้าใจว่าคนวัยผมน่าจะทำตัวแบบ เป็นคนกลาง รับความคิดคนอายุมากกว่า เชื่อมกับคนอายุน้อยกว่าให้ได้ ผมก็ถือว่า พี่ชายเขาบรรลุนิติภาวะ ทำงานนอกบ้าน ย่อมมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง สรุปกรณีแบบนี้อยากทำอะไรก็เชิญ (ถ้ามาคุยกี่ทีถ้าบอกว่าจะขาย ผมก็บอกตามใจแค่นั้น) จะมีประมาณ 25% ที่เป็นเงินพี่+แม่ยาย ผมก็บอกฝั่งเขาไว้ว่าถ้าแม่ยายไม่ขายมันก็ปล่อยมันคาไปแบบนี้แหล่ะ ผมดูแลให้ ผมกินเงินเดือน เก็บเงินส่งให้ แต่ผมรับดูแลจนหลานมันเรียนจบแล้วกัน ถ้าอยากเก็บไว้แม่ยายก็หาคนดูแลต่อแล้วกัน

พวกคนนอกครอบครัวที่คุยกัน ร้อยทั้งร้อยบอกว่า คนอื่นเขาคิดว่าพ่อแม่ตายแล้วคิดจะโกยให้มากที่สุด โดยไม่สนคำสั่งเสียก็มี ผมก็ว่าตามนั้นแหล่ะ แล้วมีมาบอกว่าให้ผมคิดว่าเก็บส่วนผลประโยชน์ของผมให้ได้พอแล้ว ของคนอื่นเขาจะใช้ยังไงก็ชั่งมัน



……..เรื่องฮานี้ตอนผมเครียดช่วงหลังงานศพพ่อใหม่ๆ ผมไปถ่ายเอกสารแถวบัานแล้วเจอเจ้าของร้านอายุ 60กว่าๆคุยว่าทะเลาะกับพี่มาหลายยก พี่เจ้าของร้านเล่าบอกเคยเจอเหมือนกัน แล้วพูดเดี๋ยวเรื่องนี้เกิด เรื่องนี้เกิด ยังไงเล่าถูกเป็นฉากๆเลยซ้ำรอยกันเลย เขาขอกใครอยากทำอะไรเชิญ คนอื่นไม่ได้อยู่ในกงสีแล้วมันรอเวลา ผู้ใหญ่ไม่อยู่แล้วจะได้ทำตามที่คิดไว้ คุณก็เก็บของที่พ่อแม่ให้ไว้ให้อยู่ก็พอ


ส่วนตัวคิดว่ามันน่าเสียใจตรงที่ กิจการหอพักที่ทำไว้มันจะถูกขาย จำนวนห้องที่ดูแลจะลดลง แต่มาคิดอีกด้านคนตัดสินใจหายไปสองคน ผมก็ไม่มีลูก จะมีสิ่งของให้ดูแลน้อยลงน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าคิดจะไปขยายมันด้วยซ้ำ “ถ้ากุเหลือน้อยๆบ้างจะได้เอาเงินไปเที่ยวรอบโลกบ้าง” ทุกวันนี้ทำตัวเป็นแบบตั้งสติให้ดี รับรู้อารมณ์ดีร้ายที่มากระทบ แล้วปล่อยวาง ปล่อยให้คนอื่นได้สิ่งที่หวังให้มากๆเข้าไว้ แล้วทำงานตัวเองให้ดี น่าจะเป็นสิ่งที่ถูก ก่อนหน้านี้เข็ดกับการคิดมากนอนไม่หลับ ไปคิดห่วงเรื่องของคนอื่นจะเกินควรไปเองมากกว่า
[Edited 4 times Godzeus - Last Edit 2023-01-24 14:19:12]

# Wed 25 Jan 2023 : 3:01PM

MaxReboot
member

Since 10/4/2007
(854 post)
ถ้าตอนตายแบ่งสมบัติกัน ครอบครัวผมก็เป็น

อาก๋งตาย ด่าถากถางกันทุกวัน ทุกวันนี้ นัดกินข้าวญาติกัน ไม่ได้ญาติมิตรห่าเหวอะไรดีหรอก

เรียกมาแซะพ่อผม เรียกมาด่า เรียกมาถ่มถุย

แต่จริงๆปกติ ถ้าไม่มีอะไรก็แบ่งก่อนตายเลยแบบอาม่าผมก็ดีเหมือนกัน อาม่าผมให้เงินเลย แบ่งแล้ย แล้วแยกกัน

ไม่ได้แช่งนะ รออาม่าผมตายก่อนมั้ง ตอนนั้นผมไม่ไปหาญาติละ แยกย้าย ผมถึงจะรอดจากTOXIC SHITนี่สักที

ปล.ตอนรับมรดกระวังเรื่องหนี้ด้วยเด้อ บางทีได้มรดกมาจริงแต่หนี้บาน เพิ่อนผมบ่นอุบ โดนมาแล้ว 555555
[Edited 1 times MaxReboot - Last Edit 2023-01-25 15:02:30]
View all 1 comments >

# Thu 26 Jan 2023 : 10:39PM

Chengy
member

Since 8/3/2010
(1770 post)
เรื่องหนี้สินอยู่ที่เจ้าหนี้เป็นผุ้ดำเนินการนะ ถ้าเกิดเราได้รับหนี้มรดก เขาต้องทำการพิสูจน์ทางกฏหมาย ไม่ใช่ปากเปล่า ซึ่งกระบวนการต้องผ่านคำสั่งศาลเท่านั้น แล้วหนี้ผุ้พ่อไม่ได้ตกสุ่ลูกหลานแต่อย่างใด หักกลบลบหนี้ได้จากมรดกของผู้ตายที่เจ้าหนี้ทำการพิสูจน์ได้แล้วเท่านั้น มีหนี้ล้านแต่ถ้าหาไม่เจอ พิสูจน์ไม่ได้ก็จ่ายเท่าที่เจอ ร้อยบาทก็ว่ากันไปตามกฏหมาย

หนี้นอกระบบ ไม่มีสัญญายืม ตกลงปากเปล่าถือเป็นโมฆะทั้งหมด หนี้ใครหนี้มัน

พินัยกรรมถ้าทำแล้วมีทนายกับผู้รับรองตามกฏหมาย ก็ยืนยันตามนั้น คุณทำถูกแล้วอย่าให้คำว่า คนในครอบครัว มาบิดเบือนมันจนกว่าจะแต่งตั้งผุ้จัดการมรดกเสร็จซึ่งเร็วสุดที่ผมเห็นก็ขึ้นศาลใช้เวลาประมาณสองเดือน จากนั้นผู้จัดการมรดกจะมีสิทธฺ์ขาดทั้งหมดขั้นต้น คือตามพินัยกรรมระบุไว้ ใครไม่ได้มีศาลออกคำสั่งแต่งตั้งจะไม่มีอำนาจยุ่งเกี่ยวแม้แต่สลึงเดียว

จัดการเรื่องทรัพย์สินแบ่งกันไปตามสัดส่วน ให้ทนายทำหน้าที่ ให้จัดหาพยานให้ถูกต้อง

แล้วเรื่องอารมณ์การเอาคืน คุณเอามาโพสต์มันจะเข้าตัวคุณเอง ศาลตัดสินตามหลักฐานก็จริง แต่เจตนาก็เอาไปพิจารณาเหมือนกัน แล้วสุดท้ายก็มาทะเลาะกันเอง จะทำไปทำไม

<<
<
1
Reply
Vote




1 online users
Logged In :