Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
ใกล้ล้มหรือยัง Warcraft III: Reforged คุณ��าพย่ำแย่เกินรับไหว โดนชาวเกมรุมจวกยับ

Reply
Vote
# Thu 30 Jan 2020 : 3:07PM

K90N64
member

Since 2018-11-04 12:18:29
(442 post)
บทความจากอดีตผู้สร้าง Diablo กล่าวว่า Blizzard เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง และกลายเป็นบริษัทที่เอาใจผู้ถือหุ้นมากกว่าพัฒนาเกมให้ผู้เล่นชอบ

ในช่วงปีที่ผ่านมา ดูจะเป็นปีที่ลำบากลำบน สำหรับยักษ์ใหญ่ของวงการเกม PC อย่าง Blizzard หลังจากที่พวกเขาได้ประกาศเปิดตัว Diablo: Immortal ในงาน BlizzCon 2018 ที่ถูกกระแสตีกลับอย่างรุนแรง ตามมาด้วยการปลดพนักงานหลายร้อยคน แม้ว่าในรายงานผลประกอบการจะระบุว่าได้รับผลกำไรก็ตาม รวมไปถึงการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในกรณีผู้เล่น Hearthstone มืออาชีพถูกแบน จากการเรียกร้องฮ่องกงให้เป็นอิสระจากจีนหลังจากจบการแข่งขัน

ซึ่งในงาน ExileCon ของเกม Path of Exile ในนิวซีแลนด์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง PC Gamer ได้มีโอกาสพูดคุยกับอดีตผู้ก่อตั้ง Blizzard North และผู้สร้าง Diablo อย่าง David Brevik, Erich Schaefer, และ Max Schaefer เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับประเด็นร้อนของ Blizzard ในตอนนี้ รวมไปถึงการประกาศเปิดตัว Diablo IV, Blizzard จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และอื่นๆ

ซึ่งทาง PC Gamer ได้ถาม Brevik, Erich, และ Max Schaefer ว่ารู้สึกอย่างไรกับการได้เห็นบริษัทที่เขาสร้างขึ้นมากำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในช่วงปีที่ผ่านมา และรู้สึกหรือไม่ว่า Blizzard อาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

"มันไม่ใช่ 'อาจจะ' เปลี่ยนไป แต่มันเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิงต่างหาก"
Brevik แย้ง พร้อมย้ำว่า มีเพียง Samwise Didier ผู้กำกับอาวุโสฝ่ายศิลป์ และ Allen Adham รองประธานอาวุโส เท่านั้น ที่เป็นนักพัฒนาจาก Blizzard ดั้งเดิม ซึ่ง Brevik ก็ยังมีการพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบกับเขาอยู่เรื่อยๆ

"Blizzard เดิมได้จากเราไปแล้ว"
Max Schaefer กล่าวเสริม

"ในตอนที่พวกเราลาออกมา มันเป็นบริษัทที่มีพนักงานเพียง 180 คน แต่ตอนนี้มีหลายพันคน บริษัทเดิม มีความแตกต่างไปจากตอนนี้ทั้งหมด และ Activision ไม่ได้มามีอิทธิพลอะไร ในตอนนั้น มันเป็นเพียงแค่ Blizzard และแค่ Vivendi หรือใครก็ตามที่เป็นเพียงเจ้าของบริษัทที่ไม่มีชื่อ นั่นคือตัวมันในตอนนั้น แต่ในตอนนี้ [Blizzard] กลายเป็นจักรวรรดิ์วีดิโอเกมที่จำเป็นจะต้องเอาใจผู้ถือหุ้นและทุกอย่างในนั้น"

ซึ่ง Brevik กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงค่านิยมและวัฒนธรรมของ Blizzard Entertainment ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มันเกิดขึ้นกับทุกบริษัทได้ทุกเวลา และนั่นเป็นส่วนหนึ่งของการที่บริษัทใดๆจะเติบโตไปเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่

Brevik และพี่น้อง Schaefer กล่าวว่าในระหว่างการพัฒนา Diablo 2 มันเป็นการต่อสู้ระหว่าง Blizzard North และ Blizzard Entertainment ซึ่งเป็นสาขาหลักของบริษัทที่เดิมก่อตั้งโดย Mike Morhaime, Allen Adham, และ Frank Pearce แต่ Blizzard ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากความสำเร็จของ Diablo, Warcraft และ StarCraft นั่นทำให้เป็นการยากขึ้นสำหรับทั้ง 3 ที่จะมุ่งมั่นกับการสร้างสรรค์ผลงาน และหลีกเลี่ยงการเมืองภายในบริษัท

"ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเราไม่ได้คุยเกี่ยวกับมูลค่าของผู้ถือหุ้น"
Erich กล่าว

"พวกเราไม่ได้คุยเกี่ยวกับเรื่องรัฐบาลจีน และสิ่งที่พวกเขาอาจจะอยากได้ สิ่งเดียวที่เราคุยกันคือ สิ่งที่พวกเราอยากจะทำ และสิ่งที่แฟนๆของเราจะชอบ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องอีกต่อไป ไม่ว่าจะดีหรือจะแย่ ผมก็ไม่ตำหนิพวกเขาหรอก พวกเขาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ไปแล้ว"

"คุณไม่สามารถเป็นบริษัทใหญ่แล้วทำอะไรได้อย่างอิสระอย่างที่พวกเราเคยเป็น และนั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่พวกเราลาออกมา เพื่อให้ทำตามใจตัวเองได้มากขึ้น และไม่เป็นหนี้บุญคุณกับองค์กรขนาดมหึมา"
Max กล่าว

"มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป การอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเราอยู่รอดได้ในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ Blizzard และรังแต่จะทำให้พวกเราบ้าตาย เพราะทั้งหมดที่พวกเราอยากจะทำ คือการมีทีมงาน และได้ทำเกมที่พวกเราอยากจะทำ มันเป็นไปได้ในบริษัทเล็กๆ อย่างที่ Blizzard เคยเป็น และมันเป็นไปไม่ได้เลยในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่พวกเขาเป็นอยู่ในตอนนี้"

ที่มา [Link]

Reply
Vote




5 online users
Logged In :