ชาวเกมรุมจวกยับ เหตุ Warcraft III: Reforged คุณภาพย่ำแย่เกินรับไหว

Warcraft III: Reforged หรือ Warcraft 3 ฉบับปรับปรุง ได้วางจำหน่ายและเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ อีกครั้งหนึ่งของ Blizzard Entertainment

โดยในตอนนี้ ฟอรั่มอย่างเป็นทางการของ Warcraft III รวมถึงใน Reddit กำลังเดือดพล่านจากเหล่าแฟนๆ ที่โมโหโกรธาและรับไม่ได้ กับคุณภาพกราฟิกของตัวเกม ปัญหาด้านเทคนิคอื่นๆ และบั๊กต่างๆ ของตัวเกมฉบับปรับปรุงนี้

ซึ่งแฟนๆ ได้หยิบยกประเด็นมาที่ วีดิโอตัวอย่างของเกมที่เคยเปิดโชว์มีคุณภาพกราฟิกที่ดีกว่าตัวเกมที่วางขายจริง และซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ คัทซีนภาพยนตร์เนื้อเรื่องในเกมที่ทำขึ้นมาใหม่และเคยโชว์ก่อนหน้านี้ ในงาน BlizzCon 2018 ก็ถูกตัดออกไป แล้วใช้เป็นยูนิตตัวละครยืนคุยกันในเกมเหมือนต้นฉบับแทน รวมไปถึงการเคลื่อนไหวต่างๆ ของยูนิตในตัว Reforge ก็มีความหลากหลายที่น้อยกว่าด้วย



Warcraft 3 Reforged (Blizzcon 2018 VS Full 2020) Cutscene Only

ไม่เพียงเท่านี้ Warcraft III: Reforged อย่างถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องของฟีเจอร์ออนไลน์ที่น้อยกว่า Warcraft 3 ตัวต้นฉบับ ที่สร้างความน่าผิดหวังให้กับแฟนๆ ซึ่งชาวเกมใน Reddit ได้เรียบเรียงสิ่งที่ขาดหายไปดังนี้
.
- ไม่มี Automated Tournament
- ไม่มี Clans
- ไม่มี Profiles
- ไม่มี Ladder
- ไม่มี พื้นหลังแคมเปญเป็น 3D เคลื่อนไหว
- ไม่มี ภาพ Portrait 3D เคลื่อนไหวใน Battle.net
- ไม่มี คำสั่ง /slash ในแชทของ Battle.net
- ไม่มี Communal channels listing
- ไมมี Custom Campaigns (รวมถึงไม่มี Custom Game Lobbies)
- ไม่มี ส่วนข่าวสารใน Battle.net
- แคมเปญ Reign of Chaos ใช้สมดุลแคมเปญของ The Frozen Throne
- ไม่มี แคมเปญใหม่
- ไม่มี หน้าจออินเตอร์เฟสใหม่
- การแปลงเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ทำได้แย่มาก
- โดนวิพากษ์วิจารณ์ว่า โบนัสใน Spoils of War Edition ไม่สมราคา

แฟนเกมคนหนึ่งในฟอรั่มของ Blizzard ชี้ว่า EULA ตัวใหม่ของ World Editor ของ Warcraft III ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยระบุว่าแผนที่ที่ผู้ใช้งานสร้างขึ้นจาก World Editor นี้ ถือเป็นทรัพย์สินของ Blizzard และพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องชดเชยใดๆ ให้ หากทาง Blizzard นำผลงานเหล่านี้ไปใช้

ทาง Nichegamer ชี้ว่า ด้วยข้อกำหนดใหม่นี้ ถือว่าเป็นหายนะ เพราะ Warcraft 3 มีชุมชนชาวเกมที่สร้างผลงานม็อดและแผนที่เจ๋งๆ จนเป็นปรากฎการณ์มาแล้ว อย่างเช่น ม็อด Defence of the Ancients หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ DOTA

ไม่เพียงเท่านี้ จากรายงานของ PCGamesN ระบุว่า ผู้เล่น Warcraft 3 ที่ไม่ได้ซื้อตัว Reforged ก็ยังได้รับผลกระทบด้วยจากการบังคับอัปเดตตัวเกมผ่าน BattleNet ที่เปลี่ยน Client ตัวเก่าให้กลายเป็นตัวใหม่แทน ทำให้สูญเสียตัวเลือกการออนไลน์จำนวนมากไป ดังที่กล่าวไปข้างต้น

ซึ่งในตอนนี้ User Score ของ Warcraft III: Reforged ใน Metacritic อยู่ที่ 2.1 จากการโหวตกว่า 563 ราย ซึ่งถือว่าน้อยยิ่งกว่า Fallout 76 ที่ได้ไปเพียง 2.7 เสียอีก

ยิ่งไปกว่านั้น มีผู้ใช้งาน Reddit ได้กล่าวว่า มีผู้ซื้อ Warcraft III: Reforged จำนวนหนึ่ง และไม่พึงพอใจกับตัวเกม ต้องการที่จะขอคืนเงิน กลับถูกปฏิเสธ และถูกแบนในฟอรั่มของ Blizzard หากแนะนำวิธีการขอคืนเงินให้ผู้อื่นทราบด้วย

ซึ่งทาง Nichegamer ชี้ว่าไม่สามารถยืนยันหรือเคยเห็นเรื่องการถูกแบนจากการแนะนำวิธีการขอคืนเงินให้ผู้ใช้งานอื่นๆ แต่ที่พบเจอแน่ๆ คือ มีผู้ใช้งานไม่ได้รับการยินยอมให้ขอคืนเงิน ด้วยเหตุผลที่ว่า "เล่นไปนานเกินแล้ว" แม้ว่าจะยังไม่เคยโหลดเกมเลยก็ตาม

ที่มา : [Link]

ไม่อยากเชื่อเลยว่า Blizzard ได้มาถึงจุดนี้เรียบร้อยแล้ว

จะมีเกมอะไรออกมากู้ศรัทธาอีกไหมเนี่ย เล่นอะไรกันอยู่blizz

ผมกะแล้วว่าต้องเหลว เห็นตั้งแต่ทำไมมันทำนานนักฟะ ไม่ใช่รีเมคซักหน่อย ต้นฉบับก็ไม่ได้เก่าแก่ล้าหลังขนาดนั้น

รอดูคนไปฟ้อง ข้อหาหลอกลวงผู้บริโภค😒😒

trailer หลอกลวง, content มาไม่ครบ โดนแน่ๆ ถ้ามีคนฟ้อง

บทความจากอดีตผู้สร้าง Diablo กล่าวว่า Blizzard เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง และกลายเป็นบริษัทที่เอาใจผู้ถือหุ้นมากกว่าพัฒนาเกมให้ผู้เล่นชอบ

ในช่วงปีที่ผ่านมา ดูจะเป็นปีที่ลำบากลำบน สำหรับยักษ์ใหญ่ของวงการเกม PC อย่าง Blizzard หลังจากที่พวกเขาได้ประกาศเปิดตัว Diablo: Immortal ในงาน BlizzCon 2018 ที่ถูกกระแสตีกลับอย่างรุนแรง ตามมาด้วยการปลดพนักงานหลายร้อยคน แม้ว่าในรายงานผลประกอบการจะระบุว่าได้รับผลกำไรก็ตาม รวมไปถึงการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในกรณีผู้เล่น Hearthstone มืออาชีพถูกแบน จากการเรียกร้องฮ่องกงให้เป็นอิสระจากจีนหลังจากจบการแข่งขัน

ซึ่งในงาน ExileCon ของเกม Path of Exile ในนิวซีแลนด์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง PC Gamer ได้มีโอกาสพูดคุยกับอดีตผู้ก่อตั้ง Blizzard North และผู้สร้าง Diablo อย่าง David Brevik, Erich Schaefer, และ Max Schaefer เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับประเด็นร้อนของ Blizzard ในตอนนี้ รวมไปถึงการประกาศเปิดตัว Diablo IV, Blizzard จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และอื่นๆ

ซึ่งทาง PC Gamer ได้ถาม Brevik, Erich, และ Max Schaefer ว่ารู้สึกอย่างไรกับการได้เห็นบริษัทที่เขาสร้างขึ้นมากำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในช่วงปีที่ผ่านมา และรู้สึกหรือไม่ว่า Blizzard อาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

"มันไม่ใช่ 'อาจจะ' เปลี่ยนไป แต่มันเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิงต่างหาก"
Brevik แย้ง พร้อมย้ำว่า มีเพียง Samwise Didier ผู้กำกับอาวุโสฝ่ายศิลป์ และ Allen Adham รองประธานอาวุโส เท่านั้น ที่เป็นนักพัฒนาจาก Blizzard ดั้งเดิม ซึ่ง Brevik ก็ยังมีการพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบกับเขาอยู่เรื่อยๆ

"Blizzard เดิมได้จากเราไปแล้ว"
Max Schaefer กล่าวเสริม

"ในตอนที่พวกเราลาออกมา มันเป็นบริษัทที่มีพนักงานเพียง 180 คน แต่ตอนนี้มีหลายพันคน บริษัทเดิม มีความแตกต่างไปจากตอนนี้ทั้งหมด และ Activision ไม่ได้มามีอิทธิพลอะไร ในตอนนั้น มันเป็นเพียงแค่ Blizzard และแค่ Vivendi หรือใครก็ตามที่เป็นเพียงเจ้าของบริษัทที่ไม่มีชื่อ นั่นคือตัวมันในตอนนั้น แต่ในตอนนี้ [Blizzard] กลายเป็นจักรวรรดิ์วีดิโอเกมที่จำเป็นจะต้องเอาใจผู้ถือหุ้นและทุกอย่างในนั้น"

ซึ่ง Brevik กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงค่านิยมและวัฒนธรรมของ Blizzard Entertainment ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มันเกิดขึ้นกับทุกบริษัทได้ทุกเวลา และนั่นเป็นส่วนหนึ่งของการที่บริษัทใดๆจะเติบโตไปเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่

Brevik และพี่น้อง Schaefer กล่าวว่าในระหว่างการพัฒนา Diablo 2 มันเป็นการต่อสู้ระหว่าง Blizzard North และ Blizzard Entertainment ซึ่งเป็นสาขาหลักของบริษัทที่เดิมก่อตั้งโดย Mike Morhaime, Allen Adham, และ Frank Pearce แต่ Blizzard ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากความสำเร็จของ Diablo, Warcraft และ StarCraft นั่นทำให้เป็นการยากขึ้นสำหรับทั้ง 3 ที่จะมุ่งมั่นกับการสร้างสรรค์ผลงาน และหลีกเลี่ยงการเมืองภายในบริษัท

"ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเราไม่ได้คุยเกี่ยวกับมูลค่าของผู้ถือหุ้น"
Erich กล่าว

"พวกเราไม่ได้คุยเกี่ยวกับเรื่องรัฐบาลจีน และสิ่งที่พวกเขาอาจจะอยากได้ สิ่งเดียวที่เราคุยกันคือ สิ่งที่พวกเราอยากจะทำ และสิ่งที่แฟนๆของเราจะชอบ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องอีกต่อไป ไม่ว่าจะดีหรือจะแย่ ผมก็ไม่ตำหนิพวกเขาหรอก พวกเขาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ไปแล้ว"

"คุณไม่สามารถเป็นบริษัทใหญ่แล้วทำอะไรได้อย่างอิสระอย่างที่พวกเราเคยเป็น และนั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่พวกเราลาออกมา เพื่อให้ทำตามใจตัวเองได้มากขึ้น และไม่เป็นหนี้บุญคุณกับองค์กรขนาดมหึมา"
Max กล่าว

"มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป การอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเราอยู่รอดได้ในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ Blizzard และรังแต่จะทำให้พวกเราบ้าตาย เพราะทั้งหมดที่พวกเราอยากจะทำ คือการมีทีมงาน และได้ทำเกมที่พวกเราอยากจะทำ มันเป็นไปได้ในบริษัทเล็กๆ อย่างที่ Blizzard เคยเป็น และมันเป็นไปไม่ได้เลยในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่พวกเขาเป็นอยู่ในตอนนี้"

ที่มา [Link]

กำลังรอดูว่ามันจะไปต่ำตมไปได้ถึงจุดไหน ซึ่งเดาไว้ว่าจุดจบอาจอยู่ที่ไดอาโบ4ก็ได้ ถ้ายังต่อยหน้าตัวเองอีก อาจจะเหลือแค่world of warcraft

ที่เลวร้ายคือ Cinematic cut-scene นี่มันบอกว่าเป็น feature ด้วย
แถมตอนโฆษณาก็ใช้ cinematic cut-scene ด้วย
แม้แต่ web ของเกมเองก็ตาม

อาจจะขายดีก็ได้ ช่วงนี้ชาวจีนเขาอยู่ติดบ้านกัน

ล้มยาก ถึงจะทำเกมกากแค่ไหนก็ตามถ้าแฟนๆยังโดดซื้อประดุจเป็นของแจกฟรีแบบนี้

บริซนี่เป็นค่ายเกมที่สถานะแทบจะเป็นศาสดาเลย มีค่ายไหนที่ทำได้บ้างขายบัตรงานประกาศเกมของตัวเอง ถึงปีก่อนหน้าจะแหกหน้าผู้ชมทั้งงาน แต่ปีต่อมาก็ยังมีคนซื้อบัตรเต็มเหมือนเดิม แถมหน้าเดิมที่ไม่พอใจก็ไปด้วย มันจะล้มได้ยังไงครับ

ก็ต้องรอดู Overwatch 2 กะ Diablo 4 ล่ะ

ถ้าออกมาเป๋วอีก ก็สิ้นศรัทธาของค่ายนี้ไปเลย

ตัวบริษัทน่ะไม่ล้มหรอก เงินมหาศาล มีคนพร้อมยอมเท แต่ศรัทธาที่แฟนๆ มีต่อบริษัทนี่คงกู่ไม่กลับแล้ว

การที่บ.ทำเกมแบบมักง่ายแล้วขายได้ดี เค้าเรียกว่าหากินกับชื่อเสียงกับบารมีเก่าที่เก็บมาครับ
ชื่อเสียงกับบารมีของบ.เกมส์ สร้างได้จากการสร้างเกมที่ดี ที่สนุก ที่ผู้เล่นชื่นชอบ
อย่างน้อยๆก็ต้อง4-5เกมส์ขึ้นไป (สร้างแบรนด์)

ชื่อเสียงกับบารมีของบ.เกมส์ เป็นต้นทุนที่ใช้หมดครับ
ลองให้บ.ทำเกมแบบเอาเท้าเกลี่ยแบบนี้สัก 3 เกมส์ต่อเนื่องกัน เกมส์ที่4ขึ้นไปคนก็จะเริ่มไม่ซื้อเพราะเข็ดหลาบ
ประเด็นคือไม่มีบ.เกมส์ไหนโง่พอจะทำอย่างนั้น (จริงๆ ActBizz เกือบจะเคยทำได้แล้ว แต่ได้ Overwatch ออกมาช่วยไว้ก่อน)

มีรายว่าdiablo4โอกาสสูงมากที่จะแปกนี้ขนาดwc3นะ

ตามๆ Bioware ไปอีกเจ้านึง

ด้านในบริษัทเละเทะเลยแฮะ