เกมฟอร์มยักษ์จากแฟรนไชส์ดัง God of War ที่หากจะนับจริงจังภาคนี้ก็ถือเป็นภาคที่ 4 แล้ว แต่เอาจริงภาคนี้เหมือนจะเป็น Reboot กลายๆมากกว่า มีการปรับเปลี่ยนไปหลายๆอย่างทั้งแนวทางของเนื้อเรื่อง/คาแรคเตอร์ และเกมเพลย์ แต่มันก็คุ้มที่จะเปลี่ยนเพราะกระแสรีวิวต่างๆของเกมนี้อยู่ในระดับที่ดีมากๆจนเป็น Game of the Year Contender ได้เลย ส่วนผมนั้นเพิ่งจะเล่นเกมนี้จบไปพร้อมกับฆ่าบอสลับสุดยอดไปแล้ววันนี้เลยจะมาเขียนรีวิวของผมครับว่าผมคิดอย่างไรกับเกม (ออกตัวก่อนว่า ผมเล่นเกมไปแค่ภาคแรก ภาค 2 เล่นไม่จบ เพลย์ 2 (ของเพื่อน) เจ๊งซะก่อน ส่วนภาค 3 ดูยูทูบเอาครับ 555)
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องเล่าถึง Kratos อดีต God of War ที่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เหล่าเทพในตำนานกรีก และได้ตัดสินใจปลิดชีวิตตนเองในตอนจบของภาค 3 แต่ในภาคนี้เราก็ได้เห็นว่าเขารอดชีวิต และได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐาน ณ Midgard ดินแดน 1 ใน 9 อาณาจักรที่อยู่ในอิทธิพลของเหล่าเทพในตำนาน Norse ณ ที่นี้ เขาได้ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ธรรมดา ได้พบรักใหม่กับ Faye หญิงสาวที่มีความเป็นนักรบเช่นเดียวกับเขา และมีลูกชายด้วยกัน 1 คนคือ Atreus เรื่องราวใน God of War ภาคนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Faye เสียชีวิต และ Kratos จะต้องทำตามคำขอร้องก่อนตายของเธอ คือการนำเถ้ากระดูกของเธอไปโปรย ณ ยอดเขาที่สูงที่สุดใน 9 อาณาจักร แต่นี่ไม่ใช่งานง่ายๆเพราะ Atreus ก็ยังเป็นเด็กที่ยังไม่พร้อมกับการเดินทางนี้ ในขณะเดียวกันสายตาของเหล่าเทพ Norse ก็เริ่มจับจ้องมายัง Kratos สุดท้ายเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ติดตามได้ใน God of War ครับ
เกมเพลย์ของภาคนี้นั้นก็ยังคงความเป็นเกม Action Hack and Slash ตามแบบ 3 ภาคแรกเอาไว้ แต่ก็ได้มีการเพิ่มองค์ประกอบของเกมเพลย์หลายอย่างที่เพิ่งจะเริ่มมีในภาคนี้ครับ เช่น ความเป็นเกม Open World ที่ภาคนี้มีความเป็น “กึ่ง” Open World ขึ้นมา ไม่ใช่แค่นั้นครับ เกมยังได้เพิ่มระบบการพัฒนาตัวละครแบบกึ่งๆเกม RPG เข้ามาด้วย ผ่านการ “คราฟของ” ที่จะทำให้ตัวละครของเรามี Stat และท่าต่างๆที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆเมื่อเกมดำเนินไป (ส่วนการอัพสกิลนี่ขอไม่พูดถึง เพราะสุดท้ายก็อัพเต็มหมดอยู่ดี 555) และสุดท้ายครับ เกมยังมีการใส่ระบบการผจญภัยที่คล้ายๆกับเกม Zelda ยุคเก่าเข้ามาด้วย นั่นก็คือ บางด่านหรือสมบัติบางอันจะยังเข้าไปไม่ได้ ต้องมีของบางอย่างตามที่เนื้อเรื่องหลักจะให้เราก่อนถึงจะกลับมาเอาได้ เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปใกล้จบก็จะมีของครบทุกอย่างและจะไปได้ทุกที่ + เอาสมบัติได้ทุกชิ้นแล้ว ซึ่งระบบที่เพิ่มมาก็ถือว่าเยอะมากเรียกได้ว่าพลิกเกมเพลย์จากไตรภาคแรกที่เป็น Hack and Slash เพียวๆไปมากทีเดียวครับ
ซึ่งสำหรับเกมเพลย์ของ God of War ภาคนี้ผมถือว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในเกมเลย คือถ้าจะถามว่าอะไรที่ทำให้เกมภาคนี้ประสพความสำเร็จขนาดนี้นั้น คงตอบได้ง่ายๆว่า “เพราะเกมเพลย์มันสนุก” ครับ ไม่ต้องไปสาธยายคุณภาพอื่นๆอะไรให้มากมายเลย เพราะฉะนั้นขอจบรีวิวแต่เพียงเท่านี้ครับ ไม่ใช่!!! คือเกมเพลย์ทุกอย่างมันลงตัวไปหมด ความเป็น Open World ก็ลงตัว โลกไม่ได้กว้างเกินไปจนรู้สึก Overwhelmed เหมือนเกม Open World อื่นๆ (คือเกม Open World ที่โลกกว้างๆ มีอะไรให้ทำเยอะๆไม่ใช่ไม่ดีนะครับ แต่บางคนไม่ชอบอย่างนี้จริงๆ เพื่อนผมคนนึงละ) ปริศนาก็ไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป เล่นได้สนุกลงตัวพอดี เอ้อระบบ Combat อาจจะยากขึ้นมานิด (มีกลิ่นของ Souls Game เข้ามาด้วย กด R1 ตีเบา R2 ตีหนักนี่ใช่เลย) แต่การต่อสู้มันก็สนุกครับ ใครต้องการยากๆก็มีบอสลับที่โหดมากๆและระดับความยาก Give me God of War สุดโหดให้เลือก (ซึ่งบอสลับก็ไม่ได้อาศัยการ Grind อะไรมากมาย ผมของไม่สุดก็สามารถฆ่ามันได้ครับ คุณแค่ต้อง Git Gud เท่านั้น ฮ่า) แต่ในขณะเดียวกัน เสน่ห์ของ God of War ภาคเก่าๆอย่างความอลังการของฉากและเหล่าทวยเทพ + อสุรกายต่างๆก็จัดหนักจัดเต็มครับกับภาคนี้ ความ Cinematic ก็ยังไม่ทิ้ง ขอบอกว่าฉากการสู้ Final Boss นี่ว้าวมากจริงๆ ส่วนการกด QTE ก็ยังมีอยู่ครับแต่ลดลงจากภาคก่อนๆ มีแค่พอดีๆเท่านั้นครับ หากจะหาข้อเสียของเกมเพลย์ ก็คงเป็นสิ่งที่หลายคนรู้สึก ก็คือโมเดลศัตรูที่พอเล่นไปยาวๆก็เริ่มรู้สึกว่ามีซ้ำๆ มีรียูสพอสมควรครับ กับคอนเทนต์ endgame บางอันที่ผมรู้สึกว่าเน้นการ Grind นิดนึง แต่ถ้าจะเอาแค่ฆ่าบอสลับสุดยอดก็ไม่ต้อง Grind อะไรมากมาย แต่ถ้าจะเอา Plat ก็ต้องทำครับ
ส่วนดนตรีประกอบนั้น ก็ทำได้ดีนะครับ สามารถขับอารมณ์ต่างๆของเกมได้ดี ได้ฟีล God of War ดีด้วย แต่สำหรับผมเรื่องความเพราะติดหูยังไปไม่ค่อยสุด ไม่ใช่เกมที่จะมานั่งเปิด OST แยกฟังเดี่ยวเท่าไหร่ เน้นฟังในเกมแล้วก็จบกันครับ
member
Since 25/7/2010
(2347 post)