แต่ถ้าเทียบพระเอกทั้งสองภาคแล้ว ผมให้เครดิตกับจอห์นมาร์สตันมากกว่า แต่อาเธอร์ผมก็ชอบนะ
เพราะถ้าไม่มีอาเธอร์ในภาคนี้ ก็คงไม่มีมาร์สตันในภาคที่แล้ว (แหงล่ะสิ ไม่งั้นเดี้ยงตั้งแต่แชปสองละ)

จอห์นไม่มีอดีตที่ดีเลย มันทำให้เขาเป็นคนซื่อๆและโมโหง่ายจากปมในวัยเด็ก ซึ่งถือว่าเขาเติบโตช้ามาุกที่สุดในซีรี่ส์ และกว่าจะหาคำตอบให้กับตนเองได้ก็นู่นล่ะ ตอนจบ Red dead 1, แต่เขาเป็นคนที่มีความพยายาม เขามองเห็นสิ่งสำคัญได้ไวกว่าทุกคน แค่เขาทำอะไรบื้อๆซื่อๆ และแสดงออกหลายทางไม่เก่งจนโดนอาเธอร์ดุเอา แต่เขาก็ตั้งใจทำในสิ่งที่เขาขาด เขาเรียนรู้ และเอาความผิดพลาดที่เขาเรียนรู้ส่งต่อให้กับลูกของเขา แต่ไม่ใช่สิ่งที่อาเธอร์สอนเขาแค่อย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่เขาสู้กับตัวเองมาตลอดซึ่งเขาทำให้ปาฏิหารเกิดขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกหลอกใช้ทั้งๆที่รู้ และเขาก็ยอมรับสภาพและยอมตายได้พร้อมกับมันหากมันทำให้สิ่งที่สำคัญของเขานั้นปลอดภัย เป็นบุรุษที่ฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้

ทางอาเธอร์ที่วิ่งไปกับดัทช์และโฮเซ่ เพราะเกียรติที่ตั้งไว้กับตนเอง วิ่งไปด้วยกันจนถึงจุดจบ และเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ แต่ในรูปแบบของคนนอกกฏหมาย เพียงแต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตั้งแต่การปล้นที่ blackwater เพราะอาเธอร์และทุกคนคิดว่าการอยู่กับดัทช์คือเหมือนกับแก๊งโรบินฮู้ด ปล้นคนรวยอภิบาลคนจน ทำอะไรต้องไว้เกียรติ เพียงแต่ทุกอย่างมันค่อยๆดิ่งลงเหวเรื่อยๆจนเหลือแค่คำว่า ปล้น

ดัทช์เองก็เป็นคนช่างฝัน แต่จะบริหารแก๊งได้นั้นต้องมีจิตใจที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเขาก็มีมันอยู่เต็มเปี่ยม พร้อมจะลั่นไกได้เสมอ แต่เขาก็มีความสุขและอยากให้ภาพฝันที่เขาวางไว้เป็นจริงกับทุกๆคนไปตลอด แต่พอสมาชิกเริ่มหายไปความสั่นคลอนในกลุ่มก็เริ่มมาเยือนจนถึงจุดที่ดัทช์มองทุกอย่างและทุกคนเป็นปฏิปักษ์กับเขา มองเขาเป็นตัวประหลาดเชื่อถือไม่ได้ (อย่างที่หลายๆท่านเขียนมาก่อนหน้านี้) จนกลายเป็นคนที่ทิ้งอุดมการณ์ทุกอย่างและเอาตัวรอดเพื่อตัวเองล้วนๆ จนแทบจะกลายเป็นอสูรที่ขับเคลื่อนด้วยคำว่าเอาตัวรอดและก็ว่างเปล่าเหมือนเเปลือกเปล่าๆในเวลาเดียวกัน เขาหันหลังกลับไม่ได้เพราะเขาใช้ชีวิตด้วยการปล้น และยุคสมัยใหม่ก็ไม่ต้อนรับเขา ซึ่งท้ายเกมคือช่วงที่ประจันหน้ากับจอห์นและไมก้า เราจะเห็นดัทช์ช่างฝันแค่เสี้ยววินาทีที่เขาตัดสินใจยิงไมก้า และเดินจากไปจากจอห์นแบบเงียบๆเป็นการให้เกียรติในแบบของเขา ซึ่งเขาเองก็ยอมรับ ในฉากจบของ RDR1 ว่าตัวเขาเองก็สู้สันดานของตนเองไปไม่ได้ แต่นั่นก็กลายเป็นคำตอบ เป็นสวรรค์ของเขาไป (ซึ่งเขารู้ตัวแล้วในภาค 2 นี้) แต่ก็ทิ้งท้ายไว้อีกว่า "ถ้าเขาจากไป คนอื่นก็จะหาปิศาจตนใหม่มาแทนเขาได้อยู่ดี เพราะพวกเขาต้องการจะหาค่าความเป็นอยู่ให้ตัวเอง"

ย้อนเวลากลับไปซักนิด เผื่อหลายๆคนยังไม่ทราบ วัคซีนของ Tuberculosis ถูกผลิตและทดลองฉีดให้กับคนเป็นครั้งแรกที่ฝรั่งเศสในปี 1921 แต่อาเธอร์อยู่ในยุค 1899 ซึ่งหมดโอกาสที่จะรักษา (แต่อีหมอวินิจฉัยนี่โหดขิง ลงไปนั่งสูบไปป์ละบอกว่า เอ่อ ช่วยไลมะได้แร้วอะพวก) จุดเริ่มต้นที่เขาติดคืองานที่ได้รับจากสเตราท์

งาน... ที่ไปทวงเงิน ไปขู่เอาเงินจากคนป่วย .....คุณดาวนส์ ที่เขาโดนไอเป็นเลือดใส่หน้า และติดวัณโรคมาตั้งแต่ตอนนั้น (เขาได้คาดเดาสาเหตุนี้ไว้ในสมุดจดของเขาด้วย)

อาเธอร์รับรู้ถึงมัน ยอมรับ และก็กลัวความตายที่ค่อยๆมาหาเขาช้าๆ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มองอะไรหลายๆอย่างได้ชัดขึ้น อาเธอร์แลดูน่ารักเพราะเขาคิดมาก มากเกินไปจนต้องใส่ลงสมุด และปฏิบัติตัวแบบซึนๆแต่ก็ช่วยเหลือตลอด(ตามใจผู้เล่น)เพราะโฮเซสอนเขามาแบบนั้น เขาเป็นห่วงทุกคน และท้ายที่สุดก็ตายเพื่อทุกคน เขาไม่ได้ยิงใครในกลุ่มของตนเองสักคนเพราะอาเธอร์เคารพพวกเขาเหมือนครอบครัวจริงๆ(รวมทั้งไม่มีโอกาสได้ยิงด้วย) เขาฝากทุกอย่างไว้กับครอบครัวมาร์สตัน(ผ่านหมวกและสมุดเม้ามอยกับของมีค่าไม่ได้แปรรูปในย่ามของเขา) และก็จากไป... ไม่มีใครตามหาเขาได้ เว้นแต่ชาร์ลส์ ที่วกกลับมาจากเผ่าอินเดียนบนเขาเพื่อเอาศพเขาไปฝัง จบตำนานของขุนโจร ...ขุนโจรที่หาทางไถ่บาปของตนเองได้ในที่สุด

"Revenge is a fools game." - เพราะการแก้แค้นนั้น เป็นเกมของคนเขลา

1.เจนนี่เคิร์ก, 2.ดาเวย์คาเลนเดอร์, 3.ฌอนเม็คไกวร์, 4.เคียเร็นดัฟฟี่, 5.เล็นนี่ซัมเมอร์ , 6.โฮเซ่แมททิวส์ , 7.เหยี่ยวบิน, 8.ซูซานกริมชอว์ , 9.อาเธอร์มอร์แกน (สเตร้าท์ไม่มีหลุมศพ จากคำบอกเล่าของชาร์ลสคือไม่นานที่เขาโดนไล่ออกจากแค้มป์ก็โดนพิงเคอร์ตันจับไปทรมานเอาข้อมูลจนตาย แต่เขาก็ไม่ได้หลุดปากซักนิด)

พบเธอได้ที่สถานีรถไฟวาเลนไทน์ เธอเป็นนักเขียนนิยายรักแล้ว

เป็นเจ้าของร้านขายของชำในโหรดส์ เขายังคงระลึกถึงสมาชิกทุกคนเสมอโดยการแขวนรูปถ่ายไว้ที่ผนังร้าน เราปล้นได้ด้วยนะ xD

ยังกลับไปมาระหว่างแอนสเบิร์กและแคนาดาด้วยความคิดถึงลูกชายของเขา ชนเผ่าที่ยังเหลืออยู่ของเขาทั้งหมดอยู่ที่แคนาดา ชาร์ลส์ก็กล่าวไว้ก่อนมิชชั่นประจันหน้าครั้งสุดท้ายเช่นกันว่าจะไปหาภริยาแต่งในแคนาดาเพราะเห็นครอบครัวจอห์นแล้วรู้สึกดี (Indian Act ใน Canada ถูกร่างขึ้นระหว่างปี 1871 - 1921 สนธิสัญญานี้ถูกลงนามเพื่อให้ชาวอินเดียนได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียม)

เผยแพร่ศาสนาต่อที่เม็กซิโก สามารถพบเธอได้ที่ลาส เฮอร์มาเนสใน Red Dead 1

เซนทรัลพาร์คในเมืองเซนท์เดนิส เธอแต่งงานอย่างมีความสุขกับทนายและกำลังจะมีลูก(หลังเวลาผ่านไปซักพักเธอจะส่งจดหมายมาบอกว่าคลอดลูกสาวแล้ว และกล่าวถึงคาเร็นเล็กน้อย)

ในจดหมายของทิลลี่ เธอรักคาเร็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ เธอไม่รู้ว่าตอนนี้คาเร็นอยู่ไหนแต่เธอพอจะเดาได้ว่าเหล้าทำอะไรกับคาเร็นไปมาก(คาเร็นเป็นคนดื่มจัด)

ซื้อหนังสือพิมพ์แบลควอเตอร์หมายเลข 74 ในบทความจะกล่าวถึงเขาในพิธีแต่งตั้งหัวหน้าบาทหลวงในโบสถ์ที่นิวยอร์ค ซึ่งเขาไปที่โอไฮโอมาก่อน และจากประสบการณ์สุดดำมืด(ในแก๊ง)ของเขาที่ลุ่มหลง(และเมามาย)ของเขา ทำให้ทุกคนต่างประทับใจในการเทศน์ของหลวงพ่อมากจนเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหลายๆคน

ขวาบนสุดเหนือโรอาโนค(แคมป์สุดท้ายก่อนจบเกม) เธอยังอยู่ที่เดิม และยังคงขอบคุณอาเธอร์เสมอที่ให้ความสามารถในการเอาตัวรอดแก่เธอ พร้อมกับเขียนหนังสือไปด้วย เธอบอกกับจอห์นว่าเพื่อนของอาเธอร์ก็คือเพื่อนของเธอเช่นกัน

เธอขึ้นไปเยี่ยมหลุมศพอาเธอร์บนภูเขาเพียงลำพัง และยังเสียใจจนถึงทุกวันนี้

เราจะพบบ้าน "เขาคนนั้นได้ที่นี่" ครับ



ทุกจุดในบ้านจะมีการขีดเขียนเรื่องราวของทุกคนไว้ ดุจชะตากรรมถูกกำหนดมาแล้วก็ไม่ปาน หนำซ้ำ ยังมีรูปวาดสีน้ำมันตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น... แนะนำให้ตั้งแคมป์ และย้อนกลับไปที่นี่ซักสองสามครั้งและสังเกตุดีๆนะครับ



หากเล่นเป็นจอห์นแล้วเราจะสามารถวิ่งไปยังเมืองอาร์มาดิลโล่ได้สบายๆ พอไปถึงที่นี่แล้วสภาพจะต่างจากเมืองในภาคแรกมาก ดุจเมืองผีสิงก็ไม่ปาน(ฟังเรื่องราวจากคนในเมืองได้) ยกเว้นชายคนเดียวในเมืองที่ไม่ได้รับผลอะไรใน "ร้านขายของ" ...ซึ่งมองข้ามหลังเขาไปดีๆแล้วจะพบ...



เขาคนนั้นคือใคร?



ผม...ก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกันครับ