Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
สุขภาพและการออกกำลังกาย

Reply
Vote
# Sat 19 Jul 2025 : 7:51AM

Quartraz
member

Since 2014-03-29 20:38:08
(8506 post)


เมื่อ "โรคซึมเศร้า" อาจไม่ได้เกิดจากสารเคมีในสมอง... หลังการเผยข้อมูลงานวิจัยระดับ Umbrella Review ว่า "ไม่พบการสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกัน" ระหว่างเซโรโทนินที่ลดลง กับโรคซึมเศร้า ❓

----

🌻 TLDR (สำหรับคนมีเวลาน้อย) : งานวิจัย Umbrella Review จากปี 2023 พบว่า “ไม่พบหลักฐานชัดเจนว่า โรคซึมเศร้าเกิดจากระดับเซโรโทนินต่ำ หรือสารเคมีไม่สมดุลในสมอง” และบางหลักฐานชี้ว่า “ยาต้านเศร้า” อาจเป็นปัจจัยที่ลดเซโรโทนิน มากกว่าการดำเนินของตัวโรคเอง

สะท้อนว่า “การรักษา ควรเป็นแบบองค์รวม” ไม่ควรยึดติดแค่การใช้ยา โดยผู้ให้การรักษาควรให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ทันสมัย และรอบด้านแก่ผู้ป่วย ✅

ทั้งนี้ ผมได้สรุปข้อจำกัดใหญ่ ๆ ของงานรีวิวชิ้นนี้ไว้ด้วย ในข้อ 15 เพื่อให้ทุกท่านอ่านงานชิ้นนี้อย่างมีวิจารณญาณ และไม่เชื่อในทันที ✅

----

เมื่อช่วงสาย ผมมีโอกาสเห็นโพสต์ของเพจ SynbioNet-SciCom เป็นภาษาอังกฤษ ได้นำเรื่องผลการวิจัยของ Moncrieff และคณะ (2023) ที่เป็น Umbrella Review บอกประมาณว่า ......

"ไอที่เชื่อว่า เซโรโทนินต่ำทำให้เป็นซึมเศร้า มันอาจจะไม่จริงเสมอไปนะเว้ย" ส่งให้โพสต์นั้นกระแสดีดมาก และเต็มไปด้วยคนที่ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนงานนี้จำนวนมาก

และผมคิดว่า เรื่องนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่อยากให้คนไทยได้อ่านด้วย

วันนี้ "ไซคีทัวร์ไลฟ์" เลยจะมาสรุปให้ทุกคนได้อ่านกัน แบบไม่ให้ตกหล่น ไม่ให้ทุกท่านตกขบวน และอยากให้ทุกคนมาแสดงความเห็นกันครับ .. 🌻

1. งานวิจัยนี้ มันอิมแพคขนาดไหนยังไง ...

งานวิจัยนี้เป็น Systematic Umbrella Review (การทบทวนวรรณกรรมระดับสูงสุด) ที่ทบทวนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเซโรโทนินในโรคซึมเศร้า โดยวิเคราะห์งานวิจัย 17 เรื่องจากฐานข้อมูล 3 แหล่งใหญ่ (PubMed, EMBASE และ PsycINFO)

เอาง่ายๆ ว่า "รีวิวในรีวิวอีกที"

2. ที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่เชื่อว่า
"โรคซึมเศร้า เกิดจากสารเคมีในสมองมันอ๊อง"

ประชาชนทั่วไปมากกว่า 80% เชื่อว่าโรคซึมเศร้าเกิดจาก "ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง" แล้วความเชื่อในนี้ลามไปถึงกลุ่มแพทย์ในวงกว้าง เราเรียกสิ่งนี้ว่า "The Serotonin Theory" หรือทฤษฎีเซโรโทนิน

"ทฤษฎีเซโรโทนิน" กับโรคซึมเศร้า ถูกเสนอครั้งแรกในปี 1960 และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปี 1990 เมื่อยาต้านเศร้าแบบ SSRI เข้าสู่ตลาด

3. ตัดกลับมางานวิจัยนี้ เขาศึกษาครอบคลุม 6 ด้าน ได้แก่

– เซโรโทนินและสาร Serotonin metabolite "5-HIAA" : หาว่า ระดับของเซโรโทนินและ 5-HIAA ในของเหลวในร่างกายต่ำลง ในผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าหรือไม่

– ตัวรับเซโรโทนิน (Receptors) : ระดับของตัวรับเซโรโทนินในผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

– Serotonin transporter (SERT) : ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ามีระดับของตัวขนส่งเซโรโทนินสูงกว่าหรือไม่ (ซึ่งจะทำให้ระดับเซโรโทนินในช่องไซแนปส์ลดลง)

– Tryptophan depletion : การลดทริปโตเฟน (ซึ่งทำให้เซโรโทนินลดลง) สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้หรือไม่

– ยีนตัวขนส่งเซโรโทนิน (SERT gene) : ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ามียีนตัวขนส่งเซโรโทนินในระดับสูงกว่าหรือไม่

– ปฏิสัมพันธ์ระหว่างยีน SERT กับความเครียด : ยีน SERT และความเครียดมีผลต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าหรือไม่

4. ผลการศึกษาระดับเซโรโทนินในร่างกายกับ Depression ดีเพรสใจ

จากการวิเคราะห์งานวิจัย 3 ชิ้น (จาก 17) ที่วิเคราะห์ระดับเซโรโทนินในเลือด พลาสม่า และน้ำไขสันหลัง พบว่า "ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างระดับเซโรโทนินกับโรคซึมเศร้า"

การศึกษาขนาดใหญ่ในกลุ่มตัวอย่าง n = 1,869 คน แสดงให้เห็นว่า "การใช้ยาต้านซึมเศร้า เป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับเซโรโทนินลดลง ไม่ใช่ตัวโรคซึมเศร้าเองด้วยซ้ำไป" ....

อันนี้คือตัวจุดประเด็นเลย สรุปยาเป็นสาเหตุที่ทำให้เซโรโทนินต่ำจริงเหรอ ไม่ใช่ตัวโรค โว้วววววว

4. ผลการศึกษาตัวรับเซโรโทนิน 5-HT1A

งานวิจัยที่วิเคราะห์ตัวรับ Receptor 5-HT1A (ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งเซโรโทนิน) พบว่า ผู้ป่วยซึมเศร้ามีตัวรับนี้ น้อยกว่าหรือเท่ากับคนปกติ

หมายความว่า ผู้ป่วยซึมเศร้าจะมีเซโรโทนินมากกว่าคนปกติ ซึ่งตรงข้ามกับทฤษฎี อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมการศึกษาส่วนใหญ่เคยใช้ยาต้านซึมเศร้า จึงอาจมีผลกระทบต่อผลการศึกษา (อันนี้คลุมเครือ)

5. ผลการศึกษาตัวขนส่งเซโรโทนิน Serotonin transporter (SERT)

มีงานวิจัย 3 เรื่องที่วิเคราะห์ SERT ซึ่ง SERT เป็นโปรตีนที่จะขนส่งเซโรโทนินออกจาก Synaptic Gap เพื่อกระจายไปยังเซลล์ประสาทอื่นต่อไป (นึกภาพพี่ไรเดอร์ส่งข้าว) ซึ่งจะลดการมีอยู่ของเซโรโทนินในเซลล์ประสาทลง

และหากภาวะซึมเศร้า เกิดจากการขาดเซโรโทนินจริง
กิจกรรมการทำงานของ SERT ควรจะสูงขึ้นสิ ..

แต่กระนั้น สิ่งที่พบคือ "ระดับเซโรโทนินตรง Synaptic Gap มันเพิ่มขึ้น" ในกลุ่มตัวอย่าง (มากสุด 1845 คน) ที่เป็นผู้ป่วยซึมเศร้า ซะงั้น ...

6. ผลการศึกษาประเด็น Tryptophan depletion

จากงานวิจัยเกี่ยวกับ tryptophan depletion ในอาสาสมัคร 566 คน พบว่า "การลดเซโรโทนิน ไม่ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลงในคนส่วนใหญ่" (ศึกษาดูความเกี่ยวโยงของเซโร กับอารมณ์)

มีเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคซึมเศร้า (75 คน) ที่พบผลเล็กน้อย การศึกษาล่าสุด 10 เรื่องที่ผู้วิจัยนำเข้ามาวิเคราะห์เพิ่มเติม ยังคงแสดงผลในทำนองเดียวกัน คือ "ไม่มีผลกระทบที่ชัดเจน"

7. ผลการศึกษา การลดเซโรโทนินในผู้ป่วยซึมเศร้า

ในผู้ป่วยซึมเศร้าที่ผ่านการรักษาด้วยยาต้านเศร้า การลดเซโรโทนินแสดงผลเล็กน้อย แต่จำนวนผู้เข้าร่วมการศึกษาน้อยและส่วนใหญ่กำลังใช้หรือเพิ่งหยุดยาต้านซึมเศร้า ทำให้ไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าเป็นผลจากโรคหรือจากยา การศึกษาล่าสุด 2 เรื่องในกลุ่มนี้ก็ไม่แสดงผลที่น่าเชื่อถือ

8. ผลการศึกษายีน SERT ขนาดใหญ่

การศึกษาทางพันธุกรรมขนาดใหญ่ที่สุดนั้น วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมมากถึง 115,257 คน !! (โอ้วพี่ชายยยย) พบว่า "ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบของยีน SERT (5-HTTLPR polymorphism) กับโรคซึมเศร้า"

งานวิจัยอีกงาน ที่วิเคราะห์จากผู้เข้าร่วม 43,165 คน ก็ให้ผลในทำนองเดียวกัน

9. ผลการศึกษา ความเกี่ยวโยงของยีนและความเครียด

คือมันมีทฤษฎีที่ว่า "เจ้ายีน SERT อาจทำงานร่วมกับความเครียดในการก่อโรคซึมเศร้า" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในช่วงหลัง

แต่แนวคิดนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยขนาดใหญ่และคุณภาพสูง 2 ชิ้น ที่งาน Umbrella Review นี้เอามาวิเคราะห์

10. ผลกระทบของยาต้านซึมเศร้าต่อระบบเซโรโทนิน

มีงานวิจัยหนึ่งพบว่า การใช้ยาต้านเศร้าเกี่ยวข้องกับการลดลงของเซโรโทนินในพลาสม่า และมีหลักฐานจากการศึกษาในสัตว์ที่แสดงว่ายาต้านซึมเศร้าอาจทำให้ระดับเซโรโทนินลดลงในระยะยาว

ตอกย้ำไปอี๊ก เรื่องเซโรโทนินลงไม่ใช่เพราะโรค แต่เป็นเพราะยา ?

11. ผลกระทบต่อความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรค

ความเชื่อเรื่อง "ความไม่สมดุลของสารเคมี" ทำให้ผู้ป่วยมองโรคซึมเศร้าในแง่ร้าย (ในงานวิจัยนี้ใช้คำว่า "pessimistic outlook") ซึ่งไปลดความเชื่อมั่นใน ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ด้วยตนเอง (self-regulation) ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผลการรักษาและการฟื้นตัว

เอาง่ายๆ ว่า พอคนมองว่าโรคนี้มันเป็นเพราะสารในสมอง มันคุมไม่ได้ นอกจากต้องใช้การรักษาด้วยยา คนจะยอมจำนนต่อโรคมากกว่า

การให้ข้อมูลและแนวทางการดูแลรักษาแบบบูรณาการ ทั้งยาและจิตบำบัด จึงมีความสำคัญต่อการรักษาโรคซึมเศร้า

12. ผลกระทบต่อการตัดสินใจรักษา

"ทฤษฎีเซโรโทนิน" มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ป่วยเรื่องการใช้ยาต้านเศร้าและการหยุดยา

ในมุมหนึ่ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเชื่อว่าต้องแก้ไข "ความไม่สมดุลของสารเคมี" ที่เป็นเหตุของโรคนี้ ทำให้พวกเขาอาจไม่กล้าหยุดยาเอง แม้ว่าจะอยากหยุด หรือมีผลข้างเคียงร้ายแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การพึ่งพายาตลอดชีวิตโดยไม่จำเป็น (มุมนี้น่าสนใจครับ)

13. ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ควรมีการทบทวนแนวคิดการรักษาโรคซึมเศร้าที่ไม่ใช่เพียงแค่ "มุ่งแก้ไขไปที่ความไม่สมดุลของสารเคมี"

การรักษาควรมีมิติที่หลากหลาย มากกว่าการใช้ยาต้านซึมเศร้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น (Intergrative approach)

14. บุคลากรทางแพทย์ นักจิตวิทยา หรือคนที่สื่อสารในเรื่องนี้ควรทำอย่างไร

ผู้ให้การรักษาควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับสาเหตุของโรคซึมเศร้า ไม่ควรอธิบายโรคในแง่ของ "ความไม่สมดุลของสารเคมี" เพียงอย่างเดียว

และควรเน้นย้ำว่า "โรคซึมเศร้าสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย" ทั้งการรักษาด้วยจิตบำบัด การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และการรักษาด้วยยาเมื่อจำเป็น

15. ข้อจำกัดของงานวิจัยที่รวบรวม (ต้องเอามาใส่ด้วยเพื่อให้ทุกท่านอ่านอย่างมีวิจารณญาณ)

อย่างไรก็ตาม Umbrella review นี้มีข้อจำกัดใหญ่เลย โดยเฉพาะในด้านคุณภาพของ Systematic review และ Meta-analysis ที่เอาอยู่ในการศึกษา

โดยมากกว่า 60% ของงานที่นำมาวิเคราะห์ในเจ้าตัว Umbrella นี้ (11 จาก 17 ฉบับ) มีคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 50% ซึ่งอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อสรุปโดยรวม

(เอาง่ายๆ อ่านถึงตรงนี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อสุดลิ่มทิ่มประตูมากเช่นกัน เดี๋ยวนักวิจัยมีอะไรชัดเจนก็จะเอามาบอก) 😂

สรุปคือ แม้ว่า 11 จาก 17 งานจะมีคุณภาพต่ำไปหน่อยของเกณฑ์มาตรฐาน (งานนี้ประเมินด้วย AMSTAR-2) แต่ไม่ได้แปลว่า งานเหล่านั้นไม่มีคุณค่าเลย หรือควรถูกมองข้ามทั้งหมดเสมอไป ...

----

จบพาร์ทสาระ เอาสู่ช่วงรีวิวของผม หลังอ่านและเรียบเรียงบทความนี้

ผมใช้เวลาเยอะมากในการเขียนให้รัดกุม ใช้ AI ช่วยสรุปให้ และคอยไป cross-check ว่ามันไม่มั่ว ทำจนตาลาย แต่เพราะคิดว่าข้อมูลเหล่านี้ จะเปิดองค์ความรู้ และกระตุ้นการแสดงความเห็นในคอมมูนิตี้ชาวเพจได้ดี เลยลงทุนสักหน่อยครับ ...

ทั้งนี้ เราในฐานะนักจิตวิทยา เรากล่าวเสมอว่า "โรคซึมเศร้าหายได้" ด้วยการรักษาแบบบูรณาการ มีการทานยาตามความเห็นแพทย์ มีการเข้าจิตบำบัดต่อเนื่อง มีมายด์เซตที่ดี

ซึ่งเป็นหน้าที่ของบุคลากรสุขภาพจิตในการทำงาน เพื่อช่วยเหลือผู้คนอย่างเต็มความสามารถต่อไป ด้วยชุดข้อมูลที่รอบด้านและอัปเดตอยู่เสมอ 💙

🫡 Source :
Moncrieff, J., Cooper, R. E., Stockmann, T., Amendola, S., Hengartner, M. P., & Horowitz, M. A. (2023). The serotonin theory of depression: a systematic umbrella review of the evidence. Molecular psychiatry, 28(😎, 3243-3256.

------..

credit : [Link]

พึ่งตกใจเรื่อง นั่งไขว่ห้าง มีผลต่อกระดูกสันหลังก็เจอเรื่องนี้ต่อทันที
View all 2 comments >
Sun 10 Aug 2025 : 6:49AM

om_duel
member

Since 2014-06-05 11:50:23
(450 post)
ซับซ้อนไป 555
ส่วนตัวมองว่ามันเป็นแพคเกจใหญ่ของ chronic fatigue syndrome ซึ่งต้องดูแลแบบองค์รวม
- หลับน้อย ฟื้นตัวยาก
- เครียด
- สภาพแวดล้อม
- อาหาร
- การออกกำลังกาย

จุดเริ่มต้นมันอาจจะเริ่มจากในห้าอย่างนี้มีบางอย่างเพี้ยน แล้วมันค่อย ๆ ดึงให้อีกด้านล้มลง ชิบหายเป็นโดมิโน่
… กินแต่อาหารไม่มีคุณภาพ -> ร่างกายฟื้นฟูไม่ดี -> ซึมเศร้าก็มาได้
นี่คิดเอาเองนะ ขี้เกียจรีวิวโน่นนี่ 555

แพคเกจใหญ่ที่ผมเดาว่ามีนะ
1. นอนไม่ดี
2. กรดไหลย้อน
3. ปวดหลัง ออฟฟิศซินโดรม
4. ซึมเศร้า

และสิ่งที่ไม่เข้ากับการดูแลห้าสิ่งให้สมดุลสุดคือ “ยาสังเคราะห์” ถามจริงมีใครรู้บ้างว่ายามันทำงานยังไง แถมผลข้างเคียงก็งง ๆ
คนที่ถอนยาแล้วมีชีวิตรอดปลอดภัยได้ ก็เป็นคนที่ทำให้ทั้งห้าด้านที่กล่าวมาสมดุลทั้งนั้น

แถมพวกความเครียดนี่ ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติว่าจิตเป็นไง มัวไปปรับมายเซ็ท เจออะไรก็ระบายออก ทำสมาธิเพ่ง งง ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ความเครียดมันก็ค้างอยู่แบบนั้นเหมือนกัน

สรุปคือ สู้ ๆ

Sun 10 Aug 2025 : 6:59AM

om_duel
member

Since 2014-06-05 11:50:23
(450 post)
เพิ่งเห็นว่าคุณหาข้อมูลเรื่องนั่งไขว่ห้างมีผลต่อกระดูกสันหลัง
งั้นผมขยายให้อีกนิดนะ
กรดไหลย้อน -> แก๊สดัน ช่วงหลังล่าง, pubic floor, ต่อมลูกหมากเริ่มขยับได้ไม่ดี mobility ต่ำ ผลลัพธ์ตามมาก็เป็นโดมิโน่


หรือพวก breathing function ที่ไม่ได้มีแค่จมูก ปอด กระบังลม แต่รวมไปถึงกล้ามเนื้อเชื่อมต่อบริเวณนั้นทั้งหมด พวกแนวกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อมัดเล็กเชื่อมอุ้งเชิงกราน อวัยวะภายในบริเวณช่องท้อง สัมพันธ์กันนะ

ถ้าเกิดการหายใจมันไม่กระจายแรงดันสม่ำเสมอทั่วทั้งท้อง มีกล้ามเนื้อบางจุด ทำงานหนักไป บางจุดทำงานน้อยไป ส่วนที่ทำงานน้อยติดล๊อก จุดที่ทำงานเยอะก็ overcompensation ให้นึกถึงตอนวิดพื้น พอใกล้หมดแรงเราจะเริ่มใช้หลังช่วย เพราะแรงของแนว core muscle หมดไปแล้ว

นึกภาพการหายใจเรา ที่มัดกล้ามเนื่อบางจุดไม่ควรใช้งาน มัน overcompensate ทุกวัน ซ้ำเดิมเป็นพันเป็นหมื่นครั้งต่อวัน มันจะสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายได้ขนาดไหน

พวกหมอนรองกระดูกปลิ้น, กระดูกสันหลังงอ, ต่อมลูกหมากโต เป็นเรื่องในภายหลังละ

เจอมากับตัว 5555
[Edited 1 times om_duel - Last Edit 2025-08-10 07:01:40]


Reply
Vote




1 online users
Logged In :