สุขภาพและการออกกำลังกาย
<<
<
143
144
145
146
147
148
Reply
Vote
View all 2 comments >
Sat 5 Jul 2025 : 7:08AM
อายุเยอะแล้ว ต้องเข้าใจธรรมชาติของฮอร์โมน การฟื้นตัว ครับ ผมจับจุดได้ว่าถ้าอดนอนคืนเดียวพรุ่งนี้ก็ป่วย ปวดเมื่อยทั้งตัวแล้ว เดี๋ยวนี้ ไม่เล่นเกมส์ข้ามคืนแล้ว เปิดเล่นนะ แต่ง่วงปุ๊บเข้านอนเลย
พวกเวทถ้าไม่มีเป้าจะเล่นจนขึ้นเวที ,ไปถอดเสื้อที่ทะเล ก็เอาแค่ 60-80% ที่เคยทำได้พอครับ เจ็บขึ้นมา ต้องพัก 3-6 เดือนมันไม่คุ้มตอนฟื้นตัว
ต้อง
1. เลือกกิน
2. ออกกำลังกายพอเหมาะ
3. นอนให้พอ
ทำเป็นกิจวัตร จะปรับตัวดีขึ้นครับ
บ้านหมุน ร่างกายมันปรับตัวทันทีไม่ได้ ตอนนี้ต้องฝึก ค่อยลุกจากที่นอน ลุกจากเก้าอี้ให้ช้ากว่าเดิม ถ้าพวกที่ออกกำลังกายมาก ชีพจร 60-80 แรงดันเลือดมันจะต่ำด้วย เวลาลุกจากเก้าอี้ ต้องค่อยๆลุก เพราะ มันจะมีจังหวะ เลือดเลี้ยงสมองไม่พอครับ
จะเป็นกับคนที่ฟิตมาก พี่ชายผมกับเมีย เล่นวิ่ง 10 กม. ทุกวัน แกเล่าให้ฟังว่า วิ่งจนหัวใจโต ก็มีปัญหาเฉพาะของนักวิ่งเหมือนกัน ผ่าเอ็นข้างเข่า เพราะกระดูกไปสีเอ็นจนเป็นแผลเป็น ผมยังคิดเลยว่าถ้าวิ่งจนป่วยมันคุ้มจริงเหรอ หรือจะเลือกกีฬา 2-3 อย่างสลับกันมันจะได้ไม่เสียซ้ำๆจุดเดิมดีกว่า
พวกเวทถ้าไม่มีเป้าจะเล่นจนขึ้นเวที ,ไปถอดเสื้อที่ทะเล ก็เอาแค่ 60-80% ที่เคยทำได้พอครับ เจ็บขึ้นมา ต้องพัก 3-6 เดือนมันไม่คุ้มตอนฟื้นตัว
ต้อง
1. เลือกกิน
2. ออกกำลังกายพอเหมาะ
3. นอนให้พอ
ทำเป็นกิจวัตร จะปรับตัวดีขึ้นครับ
บ้านหมุน ร่างกายมันปรับตัวทันทีไม่ได้ ตอนนี้ต้องฝึก ค่อยลุกจากที่นอน ลุกจากเก้าอี้ให้ช้ากว่าเดิม ถ้าพวกที่ออกกำลังกายมาก ชีพจร 60-80 แรงดันเลือดมันจะต่ำด้วย เวลาลุกจากเก้าอี้ ต้องค่อยๆลุก เพราะ มันจะมีจังหวะ เลือดเลี้ยงสมองไม่พอครับ
จะเป็นกับคนที่ฟิตมาก พี่ชายผมกับเมีย เล่นวิ่ง 10 กม. ทุกวัน แกเล่าให้ฟังว่า วิ่งจนหัวใจโต ก็มีปัญหาเฉพาะของนักวิ่งเหมือนกัน ผ่าเอ็นข้างเข่า เพราะกระดูกไปสีเอ็นจนเป็นแผลเป็น ผมยังคิดเลยว่าถ้าวิ่งจนป่วยมันคุ้มจริงเหรอ หรือจะเลือกกีฬา 2-3 อย่างสลับกันมันจะได้ไม่เสียซ้ำๆจุดเดิมดีกว่า
[Edited 1 times Godzeus - Last Edit 2025-07-05 07:12:55]
Wed 23 Jul 2025 : 9:09AM
Godzeus wrote:
อายุเยอะแล้ว ต้องเข้าใจธรรมชาติของฮอร์โมน การฟื้นตัว ครับ ผมจับจุดได้ว่าถ้าอดนอนคืนเดียวพรุ่งนี้ก็ป่วย ปวดเมื่อยทั้งตัวแล้ว เดี๋ยวนี้ ไม่เล่นเกมส์ข้ามคืนแล้ว เปิดเล่นนะ แต่ง่วงปุ๊บเข้านอนเลย
พวกเวทถ้าไม่มีเป้าจะเล่นจนขึ้นเวที ,ไปถอดเสื้อที่ทะเล ก็เอาแค่ 60-80% ที่เคยทำได้พอครับ เจ็บขึ้นมา ต้องพัก 3-6 เดือนมันไม่คุ้มตอนฟื้นตัว
ต้อง
1. เลือกกิน
2. ออกกำลังกายพอเหมาะ
3. นอนให้พอ
ทำเป็นกิจวัตร จะปรับตัวดีขึ้นครับ
บ้านหมุน ร่างกายมันปรับตัวทันทีไม่ได้ ตอนนี้ต้องฝึก ค่อยลุกจากที่นอน ลุกจากเก้าอี้ให้ช้ากว่าเดิม ถ้าพวกที่ออกกำลังกายมาก ชีพจร 60-80 แรงดันเลือดมันจะต่ำด้วย เวลาลุกจากเก้าอี้ ต้องค่อยๆลุก เพราะ มันจะมีจังหวะ เลือดเลี้ยงสมองไม่พอครับ
จะเป็นกับคนที่ฟิตมาก พี่ชายผมกับเมีย เล่นวิ่ง 10 กม. ทุกวัน แกเล่าให้ฟังว่า วิ่งจนหัวใจโต ก็มีปัญหาเฉพาะของนักวิ่งเหมือนกัน ผ่าเอ็นข้างเข่า เพราะกระดูกไปสีเอ็นจนเป็นแผลเป็น ผมยังคิดเลยว่าถ้าวิ่งจนป่วยมันคุ้มจริงเหรอ หรือจะเลือกกีฬา 2-3 อย่างสลับกันมันจะได้ไม่เสียซ้ำๆจุดเดิมดีกว่า
พวกเวทถ้าไม่มีเป้าจะเล่นจนขึ้นเวที ,ไปถอดเสื้อที่ทะเล ก็เอาแค่ 60-80% ที่เคยทำได้พอครับ เจ็บขึ้นมา ต้องพัก 3-6 เดือนมันไม่คุ้มตอนฟื้นตัว
ต้อง
1. เลือกกิน
2. ออกกำลังกายพอเหมาะ
3. นอนให้พอ
ทำเป็นกิจวัตร จะปรับตัวดีขึ้นครับ
บ้านหมุน ร่างกายมันปรับตัวทันทีไม่ได้ ตอนนี้ต้องฝึก ค่อยลุกจากที่นอน ลุกจากเก้าอี้ให้ช้ากว่าเดิม ถ้าพวกที่ออกกำลังกายมาก ชีพจร 60-80 แรงดันเลือดมันจะต่ำด้วย เวลาลุกจากเก้าอี้ ต้องค่อยๆลุก เพราะ มันจะมีจังหวะ เลือดเลี้ยงสมองไม่พอครับ
จะเป็นกับคนที่ฟิตมาก พี่ชายผมกับเมีย เล่นวิ่ง 10 กม. ทุกวัน แกเล่าให้ฟังว่า วิ่งจนหัวใจโต ก็มีปัญหาเฉพาะของนักวิ่งเหมือนกัน ผ่าเอ็นข้างเข่า เพราะกระดูกไปสีเอ็นจนเป็นแผลเป็น ผมยังคิดเลยว่าถ้าวิ่งจนป่วยมันคุ้มจริงเหรอ หรือจะเลือกกีฬา 2-3 อย่างสลับกันมันจะได้ไม่เสียซ้ำๆจุดเดิมดีกว่า
ออกกำลังกายมาก แรงดันเลือดจะต่ำ เพิ่งรู้เลยนะครับ มิน่าละตรวจสุขภาพทีไร ความดันต่ำทุกที เลขด้านล่างต่ำกว่าเกณฑ์ ทั้ง ๆ ที่ออกกำลังกายประจำ หน้ามืดเป็นบางครั้งอีกต่างหาก ก็งงว่าเป็นอะไร
# Sat 19 Jul 2025 : 7:51AM

เมื่อ "โรคซึมเศร้า" อาจไม่ได้เกิดจากสารเคมีในสมอง... หลังการเผยข้อมูลงานวิจัยระดับ Umbrella Review ว่า "ไม่พบการสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกัน" ระหว่างเซโรโทนินที่ลดลง กับโรคซึมเศร้า ❓
----
🌻 TLDR (สำหรับคนมีเวลาน้อย) : งานวิจัย Umbrella Review จากปี 2023 พบว่า “ไม่พบหลักฐานชัดเจนว่า โรคซึมเศร้าเกิดจากระดับเซโรโทนินต่ำ หรือสารเคมีไม่สมดุลในสมอง” และบางหลักฐานชี้ว่า “ยาต้านเศร้า” อาจเป็นปัจจัยที่ลดเซโรโทนิน มากกว่าการดำเนินของตัวโรคเอง
สะท้อนว่า “การรักษา ควรเป็นแบบองค์รวม” ไม่ควรยึดติดแค่การใช้ยา โดยผู้ให้การรักษาควรให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ทันสมัย และรอบด้านแก่ผู้ป่วย ✅
ทั้งนี้ ผมได้สรุปข้อจำกัดใหญ่ ๆ ของงานรีวิวชิ้นนี้ไว้ด้วย ในข้อ 15 เพื่อให้ทุกท่านอ่านงานชิ้นนี้อย่างมีวิจารณญาณ และไม่เชื่อในทันที ✅
----
เมื่อช่วงสาย ผมมีโอกาสเห็นโพสต์ของเพจ SynbioNet-SciCom เป็นภาษาอังกฤษ ได้นำเรื่องผลการวิจัยของ Moncrieff และคณะ (2023) ที่เป็น Umbrella Review บอกประมาณว่า ......
"ไอที่เชื่อว่า เซโรโทนินต่ำทำให้เป็นซึมเศร้า มันอาจจะไม่จริงเสมอไปนะเว้ย" ส่งให้โพสต์นั้นกระแสดีดมาก และเต็มไปด้วยคนที่ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนงานนี้จำนวนมาก
และผมคิดว่า เรื่องนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่อยากให้คนไทยได้อ่านด้วย
วันนี้ "ไซคีทัวร์ไลฟ์" เลยจะมาสรุปให้ทุกคนได้อ่านกัน แบบไม่ให้ตกหล่น ไม่ให้ทุกท่านตกขบวน และอยากให้ทุกคนมาแสดงความเห็นกันครับ .. 🌻
1. งานวิจัยนี้ มันอิมแพคขนาดไหนยังไง ...
งานวิจัยนี้เป็น Systematic Umbrella Review (การทบทวนวรรณกรรมระดับสูงสุด) ที่ทบทวนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเซโรโทนินในโรคซึมเศร้า โดยวิเคราะห์งานวิจัย 17 เรื่องจากฐานข้อมูล 3 แหล่งใหญ่ (PubMed, EMBASE และ PsycINFO)
เอาง่ายๆ ว่า "รีวิวในรีวิวอีกที"
2. ที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่เชื่อว่า
"โรคซึมเศร้า เกิดจากสารเคมีในสมองมันอ๊อง"
ประชาชนทั่วไปมากกว่า 80% เชื่อว่าโรคซึมเศร้าเกิดจาก "ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง" แล้วความเชื่อในนี้ลามไปถึงกลุ่มแพทย์ในวงกว้าง เราเรียกสิ่งนี้ว่า "The Serotonin Theory" หรือทฤษฎีเซโรโทนิน
"ทฤษฎีเซโรโทนิน" กับโรคซึมเศร้า ถูกเสนอครั้งแรกในปี 1960 และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปี 1990 เมื่อยาต้านเศร้าแบบ SSRI เข้าสู่ตลาด
3. ตัดกลับมางานวิจัยนี้ เขาศึกษาครอบคลุม 6 ด้าน ได้แก่
– เซโรโทนินและสาร Serotonin metabolite "5-HIAA" : หาว่า ระดับของเซโรโทนินและ 5-HIAA ในของเหลวในร่างกายต่ำลง ในผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าหรือไม่
– ตัวรับเซโรโทนิน (Receptors) : ระดับของตัวรับเซโรโทนินในผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
– Serotonin transporter (SERT) : ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ามีระดับของตัวขนส่งเซโรโทนินสูงกว่าหรือไม่ (ซึ่งจะทำให้ระดับเซโรโทนินในช่องไซแนปส์ลดลง)
– Tryptophan depletion : การลดทริปโตเฟน (ซึ่งทำให้เซโรโทนินลดลง) สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้หรือไม่
– ยีนตัวขนส่งเซโรโทนิน (SERT gene) : ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ามียีนตัวขนส่งเซโรโทนินในระดับสูงกว่าหรือไม่
– ปฏิสัมพันธ์ระหว่างยีน SERT กับความเครียด : ยีน SERT และความเครียดมีผลต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าหรือไม่
4. ผลการศึกษาระดับเซโรโทนินในร่างกายกับ Depression ดีเพรสใจ
จากการวิเคราะห์งานวิจัย 3 ชิ้น (จาก 17) ที่วิเคราะห์ระดับเซโรโทนินในเลือด พลาสม่า และน้ำไขสันหลัง พบว่า "ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างระดับเซโรโทนินกับโรคซึมเศร้า"
การศึกษาขนาดใหญ่ในกลุ่มตัวอย่าง n = 1,869 คน แสดงให้เห็นว่า "การใช้ยาต้านซึมเศร้า เป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับเซโรโทนินลดลง ไม่ใช่ตัวโรคซึมเศร้าเองด้วยซ้ำไป" ....
อันนี้คือตัวจุดประเด็นเลย สรุปยาเป็นสาเหตุที่ทำให้เซโรโทนินต่ำจริงเหรอ ไม่ใช่ตัวโรค โว้วววววว
4. ผลการศึกษาตัวรับเซโรโทนิน 5-HT1A
งานวิจัยที่วิเคราะห์ตัวรับ Receptor 5-HT1A (ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งเซโรโทนิน) พบว่า ผู้ป่วยซึมเศร้ามีตัวรับนี้ น้อยกว่าหรือเท่ากับคนปกติ
หมายความว่า ผู้ป่วยซึมเศร้าจะมีเซโรโทนินมากกว่าคนปกติ ซึ่งตรงข้ามกับทฤษฎี อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมการศึกษาส่วนใหญ่เคยใช้ยาต้านซึมเศร้า จึงอาจมีผลกระทบต่อผลการศึกษา (อันนี้คลุมเครือ)
5. ผลการศึกษาตัวขนส่งเซโรโทนิน Serotonin transporter (SERT)
มีงานวิจัย 3 เรื่องที่วิเคราะห์ SERT ซึ่ง SERT เป็นโปรตีนที่จะขนส่งเซโรโทนินออกจาก Synaptic Gap เพื่อกระจายไปยังเซลล์ประสาทอื่นต่อไป (นึกภาพพี่ไรเดอร์ส่งข้าว) ซึ่งจะลดการมีอยู่ของเซโรโทนินในเซลล์ประสาทลง
และหากภาวะซึมเศร้า เกิดจากการขาดเซโรโทนินจริง
กิจกรรมการทำงานของ SERT ควรจะสูงขึ้นสิ ..
แต่กระนั้น สิ่งที่พบคือ "ระดับเซโรโทนินตรง Synaptic Gap มันเพิ่มขึ้น" ในกลุ่มตัวอย่าง (มากสุด 1845 คน) ที่เป็นผู้ป่วยซึมเศร้า ซะงั้น ...
6. ผลการศึกษาประเด็น Tryptophan depletion
จากงานวิจัยเกี่ยวกับ tryptophan depletion ในอาสาสมัคร 566 คน พบว่า "การลดเซโรโทนิน ไม่ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลงในคนส่วนใหญ่" (ศึกษาดูความเกี่ยวโยงของเซโร กับอารมณ์)
มีเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคซึมเศร้า (75 คน) ที่พบผลเล็กน้อย การศึกษาล่าสุด 10 เรื่องที่ผู้วิจัยนำเข้ามาวิเคราะห์เพิ่มเติม ยังคงแสดงผลในทำนองเดียวกัน คือ "ไม่มีผลกระทบที่ชัดเจน"
7. ผลการศึกษา การลดเซโรโทนินในผู้ป่วยซึมเศร้า
ในผู้ป่วยซึมเศร้าที่ผ่านการรักษาด้วยยาต้านเศร้า การลดเซโรโทนินแสดงผลเล็กน้อย แต่จำนวนผู้เข้าร่วมการศึกษาน้อยและส่วนใหญ่กำลังใช้หรือเพิ่งหยุดยาต้านซึมเศร้า ทำให้ไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าเป็นผลจากโรคหรือจากยา การศึกษาล่าสุด 2 เรื่องในกลุ่มนี้ก็ไม่แสดงผลที่น่าเชื่อถือ
8. ผลการศึกษายีน SERT ขนาดใหญ่
การศึกษาทางพันธุกรรมขนาดใหญ่ที่สุดนั้น วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมมากถึง 115,257 คน !! (โอ้วพี่ชายยยย) พบว่า "ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบของยีน SERT (5-HTTLPR polymorphism) กับโรคซึมเศร้า"
งานวิจัยอีกงาน ที่วิเคราะห์จากผู้เข้าร่วม 43,165 คน ก็ให้ผลในทำนองเดียวกัน
9. ผลการศึกษา ความเกี่ยวโยงของยีนและความเครียด
คือมันมีทฤษฎีที่ว่า "เจ้ายีน SERT อาจทำงานร่วมกับความเครียดในการก่อโรคซึมเศร้า" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในช่วงหลัง
แต่แนวคิดนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยขนาดใหญ่และคุณภาพสูง 2 ชิ้น ที่งาน Umbrella Review นี้เอามาวิเคราะห์
10. ผลกระทบของยาต้านซึมเศร้าต่อระบบเซโรโทนิน
มีงานวิจัยหนึ่งพบว่า การใช้ยาต้านเศร้าเกี่ยวข้องกับการลดลงของเซโรโทนินในพลาสม่า และมีหลักฐานจากการศึกษาในสัตว์ที่แสดงว่ายาต้านซึมเศร้าอาจทำให้ระดับเซโรโทนินลดลงในระยะยาว
ตอกย้ำไปอี๊ก เรื่องเซโรโทนินลงไม่ใช่เพราะโรค แต่เป็นเพราะยา ?
11. ผลกระทบต่อความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรค
ความเชื่อเรื่อง "ความไม่สมดุลของสารเคมี" ทำให้ผู้ป่วยมองโรคซึมเศร้าในแง่ร้าย (ในงานวิจัยนี้ใช้คำว่า "pessimistic outlook") ซึ่งไปลดความเชื่อมั่นใน ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ด้วยตนเอง (self-regulation) ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผลการรักษาและการฟื้นตัว
เอาง่ายๆ ว่า พอคนมองว่าโรคนี้มันเป็นเพราะสารในสมอง มันคุมไม่ได้ นอกจากต้องใช้การรักษาด้วยยา คนจะยอมจำนนต่อโรคมากกว่า
การให้ข้อมูลและแนวทางการดูแลรักษาแบบบูรณาการ ทั้งยาและจิตบำบัด จึงมีความสำคัญต่อการรักษาโรคซึมเศร้า
12. ผลกระทบต่อการตัดสินใจรักษา
"ทฤษฎีเซโรโทนิน" มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ป่วยเรื่องการใช้ยาต้านเศร้าและการหยุดยา
ในมุมหนึ่ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเชื่อว่าต้องแก้ไข "ความไม่สมดุลของสารเคมี" ที่เป็นเหตุของโรคนี้ ทำให้พวกเขาอาจไม่กล้าหยุดยาเอง แม้ว่าจะอยากหยุด หรือมีผลข้างเคียงร้ายแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การพึ่งพายาตลอดชีวิตโดยไม่จำเป็น (มุมนี้น่าสนใจครับ)
13. ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ควรมีการทบทวนแนวคิดการรักษาโรคซึมเศร้าที่ไม่ใช่เพียงแค่ "มุ่งแก้ไขไปที่ความไม่สมดุลของสารเคมี"
การรักษาควรมีมิติที่หลากหลาย มากกว่าการใช้ยาต้านซึมเศร้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น (Intergrative approach)
14. บุคลากรทางแพทย์ นักจิตวิทยา หรือคนที่สื่อสารในเรื่องนี้ควรทำอย่างไร
ผู้ให้การรักษาควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับสาเหตุของโรคซึมเศร้า ไม่ควรอธิบายโรคในแง่ของ "ความไม่สมดุลของสารเคมี" เพียงอย่างเดียว
และควรเน้นย้ำว่า "โรคซึมเศร้าสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย" ทั้งการรักษาด้วยจิตบำบัด การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และการรักษาด้วยยาเมื่อจำเป็น
15. ข้อจำกัดของงานวิจัยที่รวบรวม (ต้องเอามาใส่ด้วยเพื่อให้ทุกท่านอ่านอย่างมีวิจารณญาณ)
อย่างไรก็ตาม Umbrella review นี้มีข้อจำกัดใหญ่เลย โดยเฉพาะในด้านคุณภาพของ Systematic review และ Meta-analysis ที่เอาอยู่ในการศึกษา
โดยมากกว่า 60% ของงานที่นำมาวิเคราะห์ในเจ้าตัว Umbrella นี้ (11 จาก 17 ฉบับ) มีคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 50% ซึ่งอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อสรุปโดยรวม
(เอาง่ายๆ อ่านถึงตรงนี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อสุดลิ่มทิ่มประตูมากเช่นกัน เดี๋ยวนักวิจัยมีอะไรชัดเจนก็จะเอามาบอก) 😂
สรุปคือ แม้ว่า 11 จาก 17 งานจะมีคุณภาพต่ำไปหน่อยของเกณฑ์มาตรฐาน (งานนี้ประเมินด้วย AMSTAR-2) แต่ไม่ได้แปลว่า งานเหล่านั้นไม่มีคุณค่าเลย หรือควรถูกมองข้ามทั้งหมดเสมอไป ...
----
จบพาร์ทสาระ เอาสู่ช่วงรีวิวของผม หลังอ่านและเรียบเรียงบทความนี้
ผมใช้เวลาเยอะมากในการเขียนให้รัดกุม ใช้ AI ช่วยสรุปให้ และคอยไป cross-check ว่ามันไม่มั่ว ทำจนตาลาย แต่เพราะคิดว่าข้อมูลเหล่านี้ จะเปิดองค์ความรู้ และกระตุ้นการแสดงความเห็นในคอมมูนิตี้ชาวเพจได้ดี เลยลงทุนสักหน่อยครับ ...
ทั้งนี้ เราในฐานะนักจิตวิทยา เรากล่าวเสมอว่า "โรคซึมเศร้าหายได้" ด้วยการรักษาแบบบูรณาการ มีการทานยาตามความเห็นแพทย์ มีการเข้าจิตบำบัดต่อเนื่อง มีมายด์เซตที่ดี
ซึ่งเป็นหน้าที่ของบุคลากรสุขภาพจิตในการทำงาน เพื่อช่วยเหลือผู้คนอย่างเต็มความสามารถต่อไป ด้วยชุดข้อมูลที่รอบด้านและอัปเดตอยู่เสมอ 💙
🫡 Source :
Moncrieff, J., Cooper, R. E., Stockmann, T., Amendola, S., Hengartner, M. P., & Horowitz, M. A. (2023). The serotonin theory of depression: a systematic umbrella review of the evidence. Molecular psychiatry, 28(😎, 3243-3256.
------..
credit : [Link]
พึ่งตกใจเรื่อง นั่งไขว่ห้าง มีผลต่อกระดูกสันหลังก็เจอเรื่องนี้ต่อทันที
Like : k9advance, Smir Noft
View all 2 comments >
Sun 10 Aug 2025 : 6:49AM
ซับซ้อนไป 555
ส่วนตัวมองว่ามันเป็นแพคเกจใหญ่ของ chronic fatigue syndrome ซึ่งต้องดูแลแบบองค์รวม
- หลับน้อย ฟื้นตัวยาก
- เครียด
- สภาพแวดล้อม
- อาหาร
- การออกกำลังกาย
จุดเริ่มต้นมันอาจจะเริ่มจากในห้าอย่างนี้มีบางอย่างเพี้ยน แล้วมันค่อย ๆ ดึงให้อีกด้านล้มลง ชิบหายเป็นโดมิโน่
… กินแต่อาหารไม่มีคุณภาพ -> ร่างกายฟื้นฟูไม่ดี -> ซึมเศร้าก็มาได้
นี่คิดเอาเองนะ ขี้เกียจรีวิวโน่นนี่ 555
แพคเกจใหญ่ที่ผมเดาว่ามีนะ
1. นอนไม่ดี
2. กรดไหลย้อน
3. ปวดหลัง ออฟฟิศซินโดรม
4. ซึมเศร้า
และสิ่งที่ไม่เข้ากับการดูแลห้าสิ่งให้สมดุลสุดคือ “ยาสังเคราะห์” ถามจริงมีใครรู้บ้างว่ายามันทำงานยังไง แถมผลข้างเคียงก็งง ๆ
คนที่ถอนยาแล้วมีชีวิตรอดปลอดภัยได้ ก็เป็นคนที่ทำให้ทั้งห้าด้านที่กล่าวมาสมดุลทั้งนั้น
แถมพวกความเครียดนี่ ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติว่าจิตเป็นไง มัวไปปรับมายเซ็ท เจออะไรก็ระบายออก ทำสมาธิเพ่ง งง ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ความเครียดมันก็ค้างอยู่แบบนั้นเหมือนกัน
สรุปคือ สู้ ๆ
ส่วนตัวมองว่ามันเป็นแพคเกจใหญ่ของ chronic fatigue syndrome ซึ่งต้องดูแลแบบองค์รวม
- หลับน้อย ฟื้นตัวยาก
- เครียด
- สภาพแวดล้อม
- อาหาร
- การออกกำลังกาย
จุดเริ่มต้นมันอาจจะเริ่มจากในห้าอย่างนี้มีบางอย่างเพี้ยน แล้วมันค่อย ๆ ดึงให้อีกด้านล้มลง ชิบหายเป็นโดมิโน่
… กินแต่อาหารไม่มีคุณภาพ -> ร่างกายฟื้นฟูไม่ดี -> ซึมเศร้าก็มาได้
นี่คิดเอาเองนะ ขี้เกียจรีวิวโน่นนี่ 555
แพคเกจใหญ่ที่ผมเดาว่ามีนะ
1. นอนไม่ดี
2. กรดไหลย้อน
3. ปวดหลัง ออฟฟิศซินโดรม
4. ซึมเศร้า
และสิ่งที่ไม่เข้ากับการดูแลห้าสิ่งให้สมดุลสุดคือ “ยาสังเคราะห์” ถามจริงมีใครรู้บ้างว่ายามันทำงานยังไง แถมผลข้างเคียงก็งง ๆ
คนที่ถอนยาแล้วมีชีวิตรอดปลอดภัยได้ ก็เป็นคนที่ทำให้ทั้งห้าด้านที่กล่าวมาสมดุลทั้งนั้น
แถมพวกความเครียดนี่ ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติว่าจิตเป็นไง มัวไปปรับมายเซ็ท เจออะไรก็ระบายออก ทำสมาธิเพ่ง งง ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ความเครียดมันก็ค้างอยู่แบบนั้นเหมือนกัน
สรุปคือ สู้ ๆ
Like : Quartraz
Sun 10 Aug 2025 : 6:59AM
เพิ่งเห็นว่าคุณหาข้อมูลเรื่องนั่งไขว่ห้างมีผลต่อกระดูกสันหลัง
งั้นผมขยายให้อีกนิดนะ
กรดไหลย้อน -> แก๊สดัน ช่วงหลังล่าง, pubic floor, ต่อมลูกหมากเริ่มขยับได้ไม่ดี mobility ต่ำ ผลลัพธ์ตามมาก็เป็นโดมิโน่
หรือพวก breathing function ที่ไม่ได้มีแค่จมูก ปอด กระบังลม แต่รวมไปถึงกล้ามเนื้อเชื่อมต่อบริเวณนั้นทั้งหมด พวกแนวกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อมัดเล็กเชื่อมอุ้งเชิงกราน อวัยวะภายในบริเวณช่องท้อง สัมพันธ์กันนะ
ถ้าเกิดการหายใจมันไม่กระจายแรงดันสม่ำเสมอทั่วทั้งท้อง มีกล้ามเนื้อบางจุด ทำงานหนักไป บางจุดทำงานน้อยไป ส่วนที่ทำงานน้อยติดล๊อก จุดที่ทำงานเยอะก็ overcompensation ให้นึกถึงตอนวิดพื้น พอใกล้หมดแรงเราจะเริ่มใช้หลังช่วย เพราะแรงของแนว core muscle หมดไปแล้ว
นึกภาพการหายใจเรา ที่มัดกล้ามเนื่อบางจุดไม่ควรใช้งาน มัน overcompensate ทุกวัน ซ้ำเดิมเป็นพันเป็นหมื่นครั้งต่อวัน มันจะสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายได้ขนาดไหน
พวกหมอนรองกระดูกปลิ้น, กระดูกสันหลังงอ, ต่อมลูกหมากโต เป็นเรื่องในภายหลังละ
เจอมากับตัว 5555
งั้นผมขยายให้อีกนิดนะ
กรดไหลย้อน -> แก๊สดัน ช่วงหลังล่าง, pubic floor, ต่อมลูกหมากเริ่มขยับได้ไม่ดี mobility ต่ำ ผลลัพธ์ตามมาก็เป็นโดมิโน่
หรือพวก breathing function ที่ไม่ได้มีแค่จมูก ปอด กระบังลม แต่รวมไปถึงกล้ามเนื้อเชื่อมต่อบริเวณนั้นทั้งหมด พวกแนวกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อมัดเล็กเชื่อมอุ้งเชิงกราน อวัยวะภายในบริเวณช่องท้อง สัมพันธ์กันนะ
ถ้าเกิดการหายใจมันไม่กระจายแรงดันสม่ำเสมอทั่วทั้งท้อง มีกล้ามเนื้อบางจุด ทำงานหนักไป บางจุดทำงานน้อยไป ส่วนที่ทำงานน้อยติดล๊อก จุดที่ทำงานเยอะก็ overcompensation ให้นึกถึงตอนวิดพื้น พอใกล้หมดแรงเราจะเริ่มใช้หลังช่วย เพราะแรงของแนว core muscle หมดไปแล้ว
นึกภาพการหายใจเรา ที่มัดกล้ามเนื่อบางจุดไม่ควรใช้งาน มัน overcompensate ทุกวัน ซ้ำเดิมเป็นพันเป็นหมื่นครั้งต่อวัน มันจะสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายได้ขนาดไหน
พวกหมอนรองกระดูกปลิ้น, กระดูกสันหลังงอ, ต่อมลูกหมากโต เป็นเรื่องในภายหลังละ
เจอมากับตัว 5555
Like : Quartraz
[Edited 1 times om_duel - Last Edit 2025-08-10 07:01:40]
# Sat 26 Jul 2025 : 10:27PM
มีใครเคยเป็นไหมครับ เจ็บกล้ามเนื้อจากการดึงข้อ ฝึกดึงข้อมาหลายเดือน ปลายคางเพิ่งเลยเหล็กได้แล้ว แต่ได้แค่1ต้องพัก เพราะมีอาการเจ็บคล้ายๆเจ็บแบบdomปวดกล้ามเนื้อลำแขนไปหลังแขนและใต้รักแล้ ผมก็พักไปสามวัน กลับมาดึงข้อใหม่ก็ยังปวดอาการเหมือนเดิมทุกอย่างชักจะมั่นใจล่ะว่าไม่ได้ปวดกล้ามเนื้อแบบดอมแล้วแน่ๆ ดึงข้อได้ขึ้น1อาการปวดก็มาเลยทันที
Like : Sorrowkung
[Edited 1 times น้องจิงโจ๊ - Last Edit 2025-07-26 22:29:21]
View all 6 comments >
Sun 27 Jul 2025 : 12:33PM
ถ้าจู่ ๆ มาดึงข้อเลย กล้ามเนื้อปีกที่หลังอาจยังไม่แข็งแรงพอทำให้ร่างกายใช้กล้ามเนื้ออื่น ๆ ช่วยจนผิดท่าและบาดเจ็บ
ตอนเทรนเนอร์ฝึกให้ผม เขาบอกว่าปีกยังไม่แข็งแรงทำให้เกร็งไหล่เอียงชัดเจน (ตั้งกล้องถ่ายตัวเองด้วยเลยเห็นชัด)
เขาแนะนำให้ใช้ยางยืดเส้นหนาคล้องกับบาร์มารองฝ่าเท้าเพื่อช่วยผ่อนแรงก่อนครับ พอสามารถดึงได้เกิน 10 ทีค่อยเปลี่ยนเป็นยางเส้นบางลง แล้วค่อยเล่นโดยไม่ใช่ยางยืด
ถ้าเล่นแมชชีนในฟิตเนส สามารถปรับทุ่นเหล็กเพื่อผ่อนแรงได้ครับ
ตอนเทรนเนอร์ฝึกให้ผม เขาบอกว่าปีกยังไม่แข็งแรงทำให้เกร็งไหล่เอียงชัดเจน (ตั้งกล้องถ่ายตัวเองด้วยเลยเห็นชัด)
เขาแนะนำให้ใช้ยางยืดเส้นหนาคล้องกับบาร์มารองฝ่าเท้าเพื่อช่วยผ่อนแรงก่อนครับ พอสามารถดึงได้เกิน 10 ทีค่อยเปลี่ยนเป็นยางเส้นบางลง แล้วค่อยเล่นโดยไม่ใช่ยางยืด
ถ้าเล่นแมชชีนในฟิตเนส สามารถปรับทุ่นเหล็กเพื่อผ่อนแรงได้ครับ
Like : น้องจิงโจ๊
Sun 27 Jul 2025 : 12:39PM
กล้ามเนื้อฉีกหรือเปล่า ลองพักซักอาทิตย์นึงดีกว่า
Like : น้องจิงโจ๊
Mon 4 Aug 2025 : 2:25AM
ควรให้คนมีความรู้จริง ดูท่าให้ครับ
ท่าพวกนี้มันมีหลายจังหวะและใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนมาก บางคนจะติดที่จังหวะแบบนี้ แล้วไม่ผ่าน เราจำเป็นต้องให้คนรู้จริงเชคให้ครับ ผมไม่ฟันธงให้นะเพราะ ผมรู้น้อย กับข้อมูลน้อยด้วย ถ้าเข้าฟิตเนตก็ต้องถามเทรนเนอร์เลยครับ
ท่าพวกนี้มันมีหลายจังหวะและใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนมาก บางคนจะติดที่จังหวะแบบนี้ แล้วไม่ผ่าน เราจำเป็นต้องให้คนรู้จริงเชคให้ครับ ผมไม่ฟันธงให้นะเพราะ ผมรู้น้อย กับข้อมูลน้อยด้วย ถ้าเข้าฟิตเนตก็ต้องถามเทรนเนอร์เลยครับ
Like : น้องจิงโจ๊
Mon 4 Aug 2025 : 8:52AM
ถ้าปวดแล้วไม่หายเกิน 1 - 2 สัปดาห์ควรหาหมอครับ แต่ถ้าไม่กี่วัน ผมว่าปกตินะ น่าจะแค่ DOM
ต้องดูว่าปวดแบบไหนด้วย ปวดกล้ามเนื้อหรือปวดเจ็บจิ้ด ๆ
ต้องดูว่าปวดแบบไหนด้วย ปวดกล้ามเนื้อหรือปวดเจ็บจิ้ด ๆ
Like : น้องจิงโจ๊
Sat 9 Aug 2025 : 8:41PM
ตอนนี้เริ่มไม่เจ็บแล้วครับ อาจะยังไม่ค่อยไหวเลยใช้ยางยืดแรงต้านไปก่อนครับ
Fri 15 Aug 2025 : 3:37PM
น้องจิงโจ๊;3000438 wrote:
ตอนนี้เริ่มไม่เจ็บแล้วครับ อาจะยังไม่ค่อยไหวเลยใช้ยางยืดแรงต้านไปก่อนครับ
เป็นเรื่อย ๆ น้อย ๆ ก็กล้ามเนื้ออักเสบครับ
ถ้าสัก 2 อาทิตย์ไม่ซ้ำเลยแล้วหายก็อาจจะแค่นั้น
ยาวกว่านั้นคิดเรื่องฉีกได้เลย
พักให้หายสนิทก่อน ค่อยเริ่มจาก 1 ใหม่ครับ
# Fri 12 Sep 2025 : 10:11AM
สำหรับคนคนมีเด็ก
*** สรุป วัคซีน RSV ในไทย ***
"Nirsevimab (Beyfortus)"
>> ไม่ใช่วัคซีน แต่เป็น "ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป" (passive immunity) <<
*** เป็นอย่างเดียวในไทยตอนนี้ ที่ฉีดในเด็ก ****
ป้องกันโรคในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจากการติดเชื้อ RSV
ในทารกแรกเกิดและทารกในช่วงฤดูกาลระบาดของ RSV
ควรให้ยาก่อนหรือในช่วงฤดูกาลระบาดของเชื้อ RSV
(มิถุนายนถึงตุลาคมในประเทศไทย)
สำหรับทารกที่เกิดในช่วงฤดูระบาด สามารถให้ยาได้ไม่นานหลังคลอด
(อายุ แรกเกิด ถึง 12เดือน และ หลัง12 เดือน-24เดือน ในกลุ่มเสี่ยง)
ฤดูกาลระบาดแรก (อายุ 0-12 เดือน):
เด็กสุขภาพดี: แนะนำให้ฉีดในทารกทุกรายที่มีอายุต่ำกว่า 8 เดือน
และอาจพิจารณาให้ในทารกอายุ 8-12 เดือน
**เด็กกลุ่มเสี่ยงสูง** : แนะนำอย่างยิ่งให้ฉีดในทารกกลุ่มเสี่ยงในขวบปีแรก
ฤดูกาลระบาดที่สอง (อายุ 12-24 เดือน):
**เด็กกลุ่มเสี่ยงสูง** : แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 12-19 เดือนที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง และอาจพิจารณาให้ในเด็กกลุ่มเสี่ยงอายุ 19-24 เดือน
(คำแนะนำนี้ แนวทางการให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab" จากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (รวกท.) เป็นหลัก)
แปลว่า ***ภูมิไม่ได้อยู่ตลอด*** ต้องมาให้เพิ่มในกรณีเริ่มอายุน้อยกว่า 1 ปี
ประสิทธิภาพ >>
ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ RSV ที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล
ได้ 79.5%
ลดความเสี่ยงของการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV
ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างได้ 83.2%
ลดความรุนแรงของโรคที่ต้องรักษาใน ICU และ/หรือ
ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจได้ 75.3%
ค่าใช้จ่ายของยาหนึ่งเข็ม (100 mg) มีราคาค่อนข้างสูง คือ
ประมาณ 17,000 - 19,000 บาท ต้องลองค้นหาเพิ่มเติมนะครับ
ส่วนเข็มที่ 2 กรณีเสี่ยงสูง ก็ฉีดไป 200 mg ราคาก็ คูณสอง ครับ
***********
"Abrysvo" (RSVpreF Bivalent Recombinant Vaccine)
สำหรับการป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจากเชื้อ RSV
ในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป วัคซีนนี้ ยังมีข้อบ่งชี้คือใช้สำหรับผู้สูงอายุและใช้สำหรับหญิงตั้งครรภ์
ตัวนี้ขอเน้น "หญิงตั้งครรภ์" นั่นคือ
เมื่อแม่ ตั้งครรภ์ ได้รับวัคซีน ร่างกายของแม่จะสร้างแอนติบอดี ต่อเชื้อในระดับสูง ซึ่งแอนติบอดีเหล่านี้จะถูกส่งผ่านรกไปยังทารกในครรภ์
กระบวนการนี้ทำให้ทารกแรกเกิดมีภูมิคุ้มกันแบบรับมา (passive immunity) ในระดับสูงตั้งแต่วันแรกของชีวิต ซึ่งจะช่วยปกป้องทารกใน "ช่วง 2-3 เดือน" แรกอันเป็นช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดโรค RSV ที่รุนแรง
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพียงครั้งเดียว ระหว่างอายุครรภ์ 24 ถึง 36 สัปดาห์
ประสิทธิภาพ >>>
ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางเดินหายใจส่วนล่างจากเชื้อ RSV ที่มีความรุนแรงในทารกได้ถึง "81.8%" ในช่วง 90 วันแรกหลังคลอด
และประสิทธิภาพในการป้องกันโรครุนแรงอยู่ที่ 69.4% จนถึงอายุ 6 เดือน
ราคา >> ต้องศึกษาจาก รพ.ที่ให้บริการ
***********
"Arexvy" (Adjuvanted RSVPreF3 Recombinant Vaccine)
สำหรับการป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจาก
เชื้อ RSV ในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงอายุ 50-59 ปี)
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อขนาด 0.5 มิลลิลิตร เพียงครั้งเดียว
ประสิทธิภาพ >>
สามารถป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่างได้ประมาณ 82%
และป้องกันโรคที่รุนแรงได้ถึง 94%
ราคา >> ต้องศึกษาจาก รพ.ที่ให้บริการ
*******************************
ทั้ง 3 ชนิดที่เขียน ได้ผ่าน "อย.ไทย" "มีใช้จริง"
****จะเห็นว่ามีเพียง 1 ชนิด ที่ให้ได้ในเด็ก อายุไม่เกิน 24 เดือน
นั่นคือ "Nirsevimab (Beyfortus)" ****
**** ส่วนอีก 2 ชนิด ไม่สามารถให้ในเด็กได้ ****
ดังนั้น อายุเกิน 2 ปี แล้ว (ไม่มีโรคปอด หัวใจ) ไม่ต้องถามหาวัคซีน RSV
ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์อาจพิจารณา "Abrysvo" ช่วงอายุครรภ์ 24-36 สัปดาห์
อันนี้ แล้วแต่การตัดสินใจ
ซึ่งการบริหารวัคซีนชนิดต่างๆ ดังกล่าว
ก็เป็นตามที่เขียนข้างต้น
คุณผู้ปกครอง "ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง"
หลังได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน
#หมอจิรรุจน์
ปล. ที่เขียนนี้เป็นแค่ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น หากอยากรู้ข้อมูลเชิงลึกของวัคซีนแต่ละตัวต้อง สืบค้นกันเองเพิ่มเติม และสอบถามแพทย์ผู้ ให้วัคซีน ด้วยนะครับ
ฝากแชร์ ให้คุณผู้ปกครองด้วยครับ ตอนนี้ตอบหลังวไมค์ไม่ไหว ครับ
[Link]
*** สรุป วัคซีน RSV ในไทย ***
"Nirsevimab (Beyfortus)"
>> ไม่ใช่วัคซีน แต่เป็น "ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป" (passive immunity) <<
*** เป็นอย่างเดียวในไทยตอนนี้ ที่ฉีดในเด็ก ****
ป้องกันโรคในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจากการติดเชื้อ RSV
ในทารกแรกเกิดและทารกในช่วงฤดูกาลระบาดของ RSV
ควรให้ยาก่อนหรือในช่วงฤดูกาลระบาดของเชื้อ RSV
(มิถุนายนถึงตุลาคมในประเทศไทย)
สำหรับทารกที่เกิดในช่วงฤดูระบาด สามารถให้ยาได้ไม่นานหลังคลอด
(อายุ แรกเกิด ถึง 12เดือน และ หลัง12 เดือน-24เดือน ในกลุ่มเสี่ยง)
ฤดูกาลระบาดแรก (อายุ 0-12 เดือน):
เด็กสุขภาพดี: แนะนำให้ฉีดในทารกทุกรายที่มีอายุต่ำกว่า 8 เดือน
และอาจพิจารณาให้ในทารกอายุ 8-12 เดือน
**เด็กกลุ่มเสี่ยงสูง** : แนะนำอย่างยิ่งให้ฉีดในทารกกลุ่มเสี่ยงในขวบปีแรก
ฤดูกาลระบาดที่สอง (อายุ 12-24 เดือน):
**เด็กกลุ่มเสี่ยงสูง** : แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 12-19 เดือนที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง และอาจพิจารณาให้ในเด็กกลุ่มเสี่ยงอายุ 19-24 เดือน
(คำแนะนำนี้ แนวทางการให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab" จากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (รวกท.) เป็นหลัก)
แปลว่า ***ภูมิไม่ได้อยู่ตลอด*** ต้องมาให้เพิ่มในกรณีเริ่มอายุน้อยกว่า 1 ปี
ประสิทธิภาพ >>
ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ RSV ที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล
ได้ 79.5%
ลดความเสี่ยงของการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV
ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างได้ 83.2%
ลดความรุนแรงของโรคที่ต้องรักษาใน ICU และ/หรือ
ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจได้ 75.3%
ค่าใช้จ่ายของยาหนึ่งเข็ม (100 mg) มีราคาค่อนข้างสูง คือ
ประมาณ 17,000 - 19,000 บาท ต้องลองค้นหาเพิ่มเติมนะครับ
ส่วนเข็มที่ 2 กรณีเสี่ยงสูง ก็ฉีดไป 200 mg ราคาก็ คูณสอง ครับ
***********
"Abrysvo" (RSVpreF Bivalent Recombinant Vaccine)
สำหรับการป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจากเชื้อ RSV
ในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป วัคซีนนี้ ยังมีข้อบ่งชี้คือใช้สำหรับผู้สูงอายุและใช้สำหรับหญิงตั้งครรภ์
ตัวนี้ขอเน้น "หญิงตั้งครรภ์" นั่นคือ
เมื่อแม่ ตั้งครรภ์ ได้รับวัคซีน ร่างกายของแม่จะสร้างแอนติบอดี ต่อเชื้อในระดับสูง ซึ่งแอนติบอดีเหล่านี้จะถูกส่งผ่านรกไปยังทารกในครรภ์
กระบวนการนี้ทำให้ทารกแรกเกิดมีภูมิคุ้มกันแบบรับมา (passive immunity) ในระดับสูงตั้งแต่วันแรกของชีวิต ซึ่งจะช่วยปกป้องทารกใน "ช่วง 2-3 เดือน" แรกอันเป็นช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดโรค RSV ที่รุนแรง
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพียงครั้งเดียว ระหว่างอายุครรภ์ 24 ถึง 36 สัปดาห์
ประสิทธิภาพ >>>
ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางเดินหายใจส่วนล่างจากเชื้อ RSV ที่มีความรุนแรงในทารกได้ถึง "81.8%" ในช่วง 90 วันแรกหลังคลอด
และประสิทธิภาพในการป้องกันโรครุนแรงอยู่ที่ 69.4% จนถึงอายุ 6 เดือน
ราคา >> ต้องศึกษาจาก รพ.ที่ให้บริการ
***********
"Arexvy" (Adjuvanted RSVPreF3 Recombinant Vaccine)
สำหรับการป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจาก
เชื้อ RSV ในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงอายุ 50-59 ปี)
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อขนาด 0.5 มิลลิลิตร เพียงครั้งเดียว
ประสิทธิภาพ >>
สามารถป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่างได้ประมาณ 82%
และป้องกันโรคที่รุนแรงได้ถึง 94%
ราคา >> ต้องศึกษาจาก รพ.ที่ให้บริการ
*******************************
ทั้ง 3 ชนิดที่เขียน ได้ผ่าน "อย.ไทย" "มีใช้จริง"
****จะเห็นว่ามีเพียง 1 ชนิด ที่ให้ได้ในเด็ก อายุไม่เกิน 24 เดือน
นั่นคือ "Nirsevimab (Beyfortus)" ****
**** ส่วนอีก 2 ชนิด ไม่สามารถให้ในเด็กได้ ****
ดังนั้น อายุเกิน 2 ปี แล้ว (ไม่มีโรคปอด หัวใจ) ไม่ต้องถามหาวัคซีน RSV
ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์อาจพิจารณา "Abrysvo" ช่วงอายุครรภ์ 24-36 สัปดาห์
อันนี้ แล้วแต่การตัดสินใจ
ซึ่งการบริหารวัคซีนชนิดต่างๆ ดังกล่าว
ก็เป็นตามที่เขียนข้างต้น
คุณผู้ปกครอง "ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง"
หลังได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน
#หมอจิรรุจน์
ปล. ที่เขียนนี้เป็นแค่ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น หากอยากรู้ข้อมูลเชิงลึกของวัคซีนแต่ละตัวต้อง สืบค้นกันเองเพิ่มเติม และสอบถามแพทย์ผู้ ให้วัคซีน ด้วยนะครับ
ฝากแชร์ ให้คุณผู้ปกครองด้วยครับ ตอนนี้ตอบหลังวไมค์ไม่ไหว ครับ
[Link]
# Sat 8 Nov 2025 : 10:20AM
รุ่นพี่ที่บริษัทเก่าเสียชีวิตระหว่างฟอกไต
อายุมากกว่าเรานิดเดียว
พี่เขานิสัยดีมาก สอนงานเราทุกอย่าง, สอนการเป็น copy writer, สอนการประมูลงาน
บางงานมาแบบจวนเจียนวันขาย ทุกคนในออฟฟิศปั่นทั้งคืนจนสลบหมด พี่รับจบปั่นต่อให้จนเสร็จ
ถึงวัยที่เราต้องไปงานขาวดำเพื่อน ๆ พี่ ๆ แล้วสินะ
อายุมากกว่าเรานิดเดียวพี่เขานิสัยดีมาก สอนงานเราทุกอย่าง, สอนการเป็น copy writer, สอนการประมูลงาน
บางงานมาแบบจวนเจียนวันขาย ทุกคนในออฟฟิศปั่นทั้งคืนจนสลบหมด พี่รับจบปั่นต่อให้จนเสร็จ
ถึงวัยที่เราต้องไปงานขาวดำเพื่อน ๆ พี่ ๆ แล้วสินะ
<<
<
143
144
145
146
147
148
Reply
Vote
Popular Thread
2 online users
Logged In :
Logged In :













member
Since 2024-01-15 09:39:23
(177 post)