ผมว่าส่วนนึงน่าจะโดน lobby แหละ ไม่งั้นคงไม่ทำอะไรงงๆ แบบนี้
เพราะคนซื้อทีวี เขาซื้อทีใช้กันนาน ก็อยากได้อะไรที่มัน Future Proof
แต่ผู้ผลืตทีวีก็กลัวคนชะลอการซื้อ ก็เลยไป lobby ให้ HDMI LA ทำอะไรประหลาดๆ แบบนี้ (หรือเปล่า?)

อย่างของ USB 3.0 นี่เหี้ยจริง
USB 3.1 ออก ก็เปลี่ยน USB3.0 ไปเรียกเป็น USB 3.1 Gen 1 แล้วของใหม่เรียก USB 3.1 Gen 2
USB 3.2 ออก ก็เปลี่ยน USB3.1 Gen 1 ไปเรียกเป็น USB 3.2 Gen 1 เปลี่ยน USB3.1 Gen 2 ไปเรียกเป็น USB 3.2 Gen 2
แล้วงอกของใหม่เรียก USB 3.2 Gen 1x2 กับ USB 3.2 Gen 2x2 (เป็นการต่อยอดจากตัวเก่าตามชื่อ)

มันไม่ควรจะต่างครับ

ตามหลักการของการส่งสัญญาณแบบ digital นั้น noise มันไม่มีผลกับสัญญาณ เพราะการส่งสัญญาณ digital ถูกออกแบบมาเพื่อให้ noise ไม่มีผลกับสัญญาณ (noise มีในสัญญาณได้ แต่สัญญาณที่ส่งจะต้องแปลงความหมายได้เหมือนเดิมเสมอ) ยกเว้นว่าจะ noise เยอะมากแบบมีนัยยะสำคัญ (ซึ่งถ้าเยอะขนาดนั้น ระบบไฟบ้านคุณน่าจะมีปัญหาล่ะ)

ถ้าจะต่างก็คือสายคุณภาพแย่มาก (คุณภาพสายควรจะต้องมีคุณภาพสูงหน่อย ถ้าสายมีความยาวมาก พวก 5-10 เมตรน่าจะต้องใช้สายดีหน่อย) แต่ถ้าคุณภาพสายแย่ภาพที่ได้ก็จะมีปัญหาแบบเห็นได้ชัดเจน เช่นมีจุดๆ ขึ้นบนหน้าจอ ภาพล้ม ภาพหาย เป็นต้น ไม่ใช่แบบสีไม่อิ่ม ภาพแบน เพราะแบบที่บอก มันต้องแปลงผลได้ค่าเดิม ถ้าส่งได้ถูก

แต่คนที่ลงทุนกับสายราคาแพงๆ เค้าก็จะบอกว่า เค้าเห็นความแตกต่าง อันนี้ผมก็ยกให้เป็นความพอใจของแต่ละคนละกันครับ ผมก็แค่พูดตามหลักวิชาการ

ตอนแรกว่าจะไม่แย้งนะ
แต่กลัวคนเข้าใจผิด

HDMI มันมี spec ของมัน ต้องส่งสัญญาณได้เท่าไหร่ ในระยะสายไม่เกินเท่าไหร่ ซึ่ง spec จะกำหนดไม่เกิน 5 เมตร
สายทั่วไป ไม่ว่าระดับราคาเท่าไหร่ ถ้าอยู่ใน spec คือใช้ได้
เสียบแล้วภาพไม่เป็นเม็ดสีแปลกๆ โผล่ออกมาในจุดที่ไม่ควรมี ภาพไม่ล้ม ก็ถือว่าใช้ได้
สายมียี่ห้อหน่อยก็จะบอกว่าเป็น high speed หรือไม่ (สาย hdmi ไม่มี version มีแค่ high speed หรือเปล่า)
ถ้าใช้ไม่เกิน 3 เมตร สายส่วนใหญ่มักจะใช้ได้ไม่มีปัญหา
ถ้าเกิน 3 เมตร ก็ต้องเสี่ยงหน่อย ต่อให้เลือกสายดีหน่อย ก็อาจจะใช้ไม่ได้ก็ได้ การเลือกสายที่แพงขึ้นมานิดนึง หรือมีประกันมันก็อาจจะช่วยให้มั่นใจระดับนึง

ไม่อยากจะบอกว่าผมมีสาย belkin อยู่เส้นนึง ปัจจุบันใช้ไม่ได้แล้ว
แต่สายกากๆ ไม่มียี่ห้อซื้อมาก่อน belkin ยังใช้ได้ปกติ

ถูกครับ เเต่ ที่ผมอธิบาย เราจะรู้ได้ยังไง ไอ้ยี่ห้อ 1500-2000 มันใช้อะไรเป็นตัวนำ การเข้าหัวเเบบไหน วงการนี้ ถ้าอยากได้ของดีมาตรฐานจริงๆ ก็ต้อง หาคนรีวิว คนมีความรู้เคยใช้เเล้ว เค้าจะบอกยี่ห้อเอาไว้ ว่าจ่ายเเค่นี้ได้อะไร วงการนี้สายเเพง 2000-3000 ยังสู้สาย 700-800 ไม่ได้เลยก็มี ถ้า วัสดุตำนำ การเข้าหัว ไม่ได้มาตรฐาน ไอ้ที่บอกสายถูกสายเเพง คุณภาพ ภาพ เสียง ดีเท่ากันอย่าง 100 เท่า 5000 อย่างนี้ไม่จริงหรอกครับ เพราะมันมีต้นทุนมาตรฐานของมัน ตอนเเรกผมก็ไม่เชื่อ พอทดลองนี่รู้เลยต่างมาก เเต่สายราคา 800-1200 ถ้า ตัวนำมาตรฐานดี การเข้าหัวดี ก็สูสีกับพวก 2000-3000 เลย ถ้าต่างกัน ก็ต่างกันที่ตัวนำอย่างเดียว

ใช่ครับ ต้องดู spec ละเอียดเลย
เพราะทุกจอที่รองรับ hdmi 2.0 สามารถโฆษณาว่าตัวเองเป็น hdmi 2.1 ได้เลย
นี่ยังไม่นับความมึนว่า จอบางตัว รองรับ hdmi 2.1 (แบบที่เราเข้าใจกัน) แค่บาง port และบาง port ก็เป็น hdmi 2.0 อีกนะ

คือจริงๆ มันเกี่ยวครับ แต่แค่ว่า ต่อไปนี้ เวลาจะซื้อจอเราดูว่ามันรองรับ HDMI 2.1 ไม่พอแล้ว
เพราะ HDMI LA เค้าแค่บอกว่า คุณจะโฆษณาว่าทีวี/monitor คุณรองรับ HDMI 2.1 ทั้งๆ ที่ไม่มี feature VRR, 120hz ก็ได้

ซึ่งในความเป็นจริงเราต้องดูว่าทีวีเรามี feature อะไรบ้าง กรณีจอ monitor มันจะมีความว่า 144hz รองรับแค่ display port หรือเปล่า หรือว่ารองรับบน HDMI ด้วย
ส่วนสาย ผมไปหาข้อมูลเพิ่มมาสายตอนนี้มี 3 แบบ

HDMI ปกติดั้งเดิม
HDMI Highspeed (Category 2) รองรับถึง 4K 30hz, 3D, Deep color
มันจะมีรุ่นย่อยของ Category 2 อยู่ ชื่อ Premium High Speed HDMI Cable อันนี้จะดันไปถึงสุดของมาตรฐาน HDMI 2.0 คือ 18Gbps รองรับ 4K 60hz
HDMI Ultra Highspeed (Category 3) สร้างมาพร้อม HDMI 2.1 รองรับได้ถึง 10K 120hz

แต่ในความเป็นจริง ตอนเค้าขายๆ สายกัน เพื่อความง่าย เค้าเลยโฆษณาอ้างอิง HDMI version กัน
อย่างสมัยก่อน ตอน HDMI -> HDMI Highspeed มันมีสาย HDMI 1.2, 1.3, 1.4 ซึ่งจริงๆ มันคือสายเดียวกันหมด
แต่ตอน HDMI 2.0, 2.1 มันเปลี่ยน spec port กับ spec สายพร้อมๆ กัน ก็น่าจะต้องดูรายละเอียดสายเพิ่มนิดนึง

สรุปคือ HDMI 2.1 (แบบที่เต็ม feature) ต้องเป็นสาย Ultra Highspeed หรือ สายที่ระบุ 48Gbps
ส่วนจอให้ดูว่า port hdmi รองรับ 120hz, VRR (Variable Refresh Rate), ALLM (Auto Low Latency mode) หรือเปล่า