Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
Review : Ralph Breaks the Internet

<<
<
1
Reply
Vote
# Sun 2 Dec 2018 : 4:47PM

Slashmeplease
member
หลังเขา รุ่นที่ 3
Since 25/7/2010
(2337 post)
Review : Ralph Breaks the Internet

กำกับ : Phil Johnston, Rich Moore (Wreck-It Ralph, Zootopia)



- Wreck-It Ralph ถือเป็นหนึ่งในแอนิเมชั่นของดิสนีย์ที่ผมชอบที่สุด ทั้งจากความที่มี Easter Egg จากเกมต่างๆมากมาย และเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งกินใจ และเมื่อมีภาคต่อออกมาคือ Ralph Breaks the Internet ผมจึงไม่พลาดที่จะไปดู

- แต่ในภาคนี้หนังได้ลดเรื่องราวเกี่ยวกับเกมต่างๆลง ไปเน้นเกี่ยวกับเวบไซต์ต่างๆและอินเตอร์เน็ตแทน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเกมเลย ยังมีอยู่บ้างครับและมันก็ทำให้อมยิ้มได้ดีทีเดียว (ผมชอบฉากที่แซวเกมออนไลน์มาก)

- และในด้านความสนุกสนานนั้น Ralph Breaks the Internet ก็ทำได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะในเรื่องของมุกตลกต่างๆนั้นขอบอกว่าคิดกันมาได้อย่างดีมาก หนังจะ start slow ก่อนในช่วงแรกที่เป็นการเกริ่นจะยังไม่ปล่อยของอะไรมาก แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่โลกของอินเตอร์เน็ตแล้วหนังก็เริ่มปล่อยมุกฮาๆไม่ยั้งครับ โดยเหล่ามุกที่เป็นการแซวเวบไซต์ต่างๆและพฤติกรรมของคนเล่นอินเตอร์เน็ตนี่ขอบอกว่าทำมาได้โดนใจมาก ตลกมากๆจริงๆ แต่ก้ไม่ใช่แค่นั้น มุกแซวตัวเองแบบ Self Aware ของดิสนี่ย์ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเหล่าเจ้าหญิงดิสนี่ย์ที่ขอบอกว่าเป็นหนึ่งในตัวขโมยซีนหลักของหนังเรื่องนี้ทีเดียวครับ ออกมาเมื่อไหร่ต้องมีฮาเมื่อนั้น และมุกความเป็นเจ้าหญิงของ Vanelope ก็เป็นหนึ่งในมุกที่ดีที่สุดของเรื่องเลยทีเดียว (แอบชอบวิธีหาเงินต่างๆของ Ralph ด้วย สมเป็นอินเตอร์เน็ตดีจริงๆ)

- แต่สิ่งที่รีวิวหลายๆเจ้าชอบและยกย่องใน Ralph Breaks the Internet นี้ นั่นก็คือเมสเสจของมันและความซึ้งกินใจ ผมกลับรู้สึกค่อนข้างเฉยๆเสียอย่างนั้น ผมแอบคิดว่าเมสเสจของหนังมันเป็นสิ่งที่...ค่อนข้างจะ Common Sense ยังไงก็ไม่รู้ จะบอกว่าสอนเด็ก มันก็ออกจะเป็นเรื่องของมิตรภาพที่อาจจะซับซ้อนเกินวัยเด็กไปหน่อย (และหลายๆอย่างในหนังก็ไม่ใช่สำหรับเด็กเลย ตรงนี้ไว้จะพูดต่อไป) แต่อย่างไรก็ตาม ฉากสุดท้ายของหนังก็ทำอารมณ์ bittersweet ขมๆไว้ได้ดีทีเดียว ก่อนที่จะมาฮาแตกกันอีกครั้งใน End credit 555

- มาถึงข้อสังเกตหนึ่งที่ผมมีต่อหนัง คือผมคิดว่าหนังมีความเป็นหนังสำหรับผู้ใหญ่มากกก จนอาจจะมากเกินไป พล็อตหลักของหนังที่เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต มุกตลกต่างๆทั้งเรื่องแซวอินเตอร์เน็ตและแซวดิสนี่ย์ก็เป็นมุกที่น่าจะเป็นผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะเข้าใจ แอบคิดว่าเด็กจะเก็ทหรือ หรือเด็กสมัยนี้เล่นอินเตอร์เน็ตเยอะมากๆกันแล้วก็อาจจะเป็นได้นะครับ (ผมอาจจะหลงยุคเอง 55) เรื่องเมสเสจของมันก็ตามที่พูดไว้ครับว่าดูจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่เสียมากกว่า

- งานภาพ สวยมากๆ ฉากที่เข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตแรกๆนี่งามละลานตามาก ฉากแข่งรถขับรถก็ทำได้มันส์ดีจริงๆ เพลงประกอบ เพลงเครดิตหลักของ Imagine Dragons เฉยๆมาก แต่วงนี้มันก็คงได้แค่นี้ละนะ 5555 แต่พวกเพลงธีมต่างๆที่ใส่มาล้อเลียนนู่นนี่ก็ทำได้ดี เมดเล่ย์เจ้าหญิงดิสนี่ย์นี่เจ๋งมาก แต่เพลงที่เจ๋งที่สุดคือ Slaughter Race ครับ มันเป็นยังไงต้องฟังเอง 5555

- สรุป : สนุก ตลกมากๆ มุกแซวสิ่งต่างๆในอินเตอร์เน็ตเจ๋งมาก แต่หนังจะมีความเป็นผู้ใหญ่เยอะหน่อยพาเด็กไปดูไม่รู้จะเก็ทหรือเปล่า และเมสเสจของมันที่หลายๆคนอาจชอบแต่ผมเฉยๆแฮะ

- เกรด : A



# Mon 10 Dec 2018 : 10:26PM

Leehuming
member

Since 11/3/2007
(38 post)
End Credit สำหรับผมนี่ฮาเลย ตอนเห็นรายชื่อเพลงก็ยังงอยู่ว่ามันเล่นไปตอนไหน ที่ไหนได้มาเล่นตอน End Credit นี่เอง 555

# Tue 11 Dec 2018 : 6:50AM

Amail
member

Since 8/10/2007
(1210 post)
ผมชอบภาคแรกมากกว่าภาคนี้
ภาคนี้โอเค สนุก มุกต่างๆยังดีงาม แต่เมสแซสหลักที่สื่อมันเป็นผู้ใหญ่ไปหน่อยจริงๆแหละ
มันซึ้ง แต่ก็ชวนหดหู่ในเวลาเดียวกัน

ผมชอบ Lala land นะ แต่ตอนจบมันเรียลจนทำให้ไม่อยากดูซ้ำ
Ralph ภาคนี้ก็เหมือนกัน มันก็ต้องจบแบบนี้แหละ แต่ก็ทำให้ไม่อยากดูซ้ำเหมือนกัน

# Tue 11 Dec 2018 : 11:42AM

11th Dimension
member
รักชายหญิงก็แค่หวังสืบพันธุ์
แต่รักเพศเดียวกันคือรักบริสุทธิ์
Since 2013-07-29 14:41:49
(7495 post)
ชอบมากภาคนี้ ผมว่าอัพเกรดจากภาคแรกขึ้นเยอะ จริงๆมันเป็นอนิเมชั่นที่เน้นกลุ่มผู้ใหญ่ตั้งแต่ภาคแรกแล้วแหละ ตั้งแต่เอา theme retro arcade game มาเล่นละ Vanellope นี่เป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ที่ผมชอบสุดไปแล้ว 555 อยากดูอีกรอบมากถ้ามีเวลา

ส่วนเพลง never gonna give you up นี่ ถ้าคนทั่วไปดูจนถึง end credit 2 คงบอกว่าเป็นแค่ฉากเกรียนดัก แต่แฟนเพลง Rick Astley อย่างผมนี่อมยิ้มเลย ลอก mv มาเป๊ะจริง


<<
<
1
Reply
Vote




1 online users
Logged In :