The Evil Within
Evil Within คือผลงานชิ้นล่าสุดของ ชินจิ มิคามิ บิดาแห่งเกมแนว survival horror และผู้ให้กำเนิดซีรี่ส์ยอดนิยมอย่าง Resident Evil
ก่อนเล่นเกมนี้ ค่อนข้างมีความคาดหวังระดับนึงเลยทีเดียว แม้ว่าระดับผลงานของชินจิจะค่อนข้างขึ้นๆลงๆ แต่ถ้าเป็นแนวนี้ เรียกได้ว่าไม่ค่อยพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเกมถูกโฆษณามาในรูปแบบแนวเกมสยองขวัญด้วย
แต่ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว Evil Within ไม่ได้เน้นไปที่ความเป็นเกมสยองขวัญเต็มตัวซักเท่าไหร่ อาจจะใช้ธีมของเกมสยองขวัญมาสร้างบรรยากาศของเกม แต่ตัวเกมเพลย์ค่อนข้างเป็นลูกผสม ตลอดการเล่นเกมคุณจะนึกถึง Resident Evil (classic), Resident Evil 4, Silent Hill, The last of us และอื่นๆอีกมากมาย และนั่นกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของเกมนี้
เกมเริ่มต้นมาด้วย 3 นักสืบคือพระเอกของเรา Sebastian และคู่หูอีก 2 คน Joseph และ Julie ได้บุกเข้าไปยังโรงพยาบาลประสาทแห่งนึง หลังเกิดเหตุฆ่ากันตาย และพบว่าเมื่อเข้าไปถึง ทุกคนในโรงพยาบาลได้ถูกฆ่าตายหมดแล้ว แต่ในขณะที่กำลังสืบสวนอยู่นั่น Sebastian ก็ได้พบกับ Ruvik ชายในชุดผ้าคลุมลึกลับ ผู้ซึ่งดึงเค้าเข้าไปสู่โลกอันแสนบ้าคลั่ง และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
เกมไม่ได้อ้างอิงกับข้อเท็จจริง หรือความมีเหตุมีผลมากนัก หลังจากเริ่มเกม เราจะพบว่าตัวละครจะถูกพาไปยังที่ต่างๆตลอดเวลา บางครั้งอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือเนื้อเรื่องบ้าง บางครั้งอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย เรียกได้ว่าหลากหลาย แต่ไม่ค่อยต่อเนื่อง ทำให้สร้างอารมณ์ร่วมลำบาก บวกกับเนื้อเรื่องเกมที่ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก ทำให้รู้สึกว่าเหมือนแค่กำลังเล่นเกมที่เปลี่ยนด่านไปเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆจุดนี้ก็เป็นอีกอย่างที่รู้สึกแปลก เพราะหลายครั้งเกมเลือกจบด่านในจุดที่ไม่ค่อยจะน่าจะจบ เราจะไม่รู้เลยว่าตรงไหนจะจบฉาก ตรงไหนจะเจอบอส บางฉากเจอบอสสองสามตัวติดกัน เกมค่อนข้างจัดบาลานซ์ได้แปลกพอสมควร
การตัดฉากไปมา การลากละครไปนู่นมานี่ ถือเป็นสูตรมาตรฐานของเกมแนวนี้ แต่ Evil Within ใส่ตรงนี้มามากเกินไป มากจนกระทั่งรู้สึกเหนื่อย บวกกับเกมเพลย์ที่ไม่ค่อยให้ผู้เล่นได้หยุดพัก มันเหมือนกับการไปสวนสนุก แล้วเล่นแต่รถไฟเหาะอย่างเดียวทั้งวัน ทั้งเกมเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เครียด ทรมาน กดดัน สารพัดความรู้สึก จนบางครั้งให้ความรู้สึกเหมือนถูกจับอยู่ในเครื่องทรมานมากกว่ากำลังเล่นเกม อย่างที่บอกว่าเกมไม่ค่อยมีจุดให้หยุดพักมากนัก ยังโชคดีที่จุดเซฟและ checkpoint มีค่อนข้างถี่ เลยทำให้รู้สึกว่าง่ายขึ้นมาหน่อย
ย้อนกลับไปที่เกมเพลย์ที่อ้างไว้ตั้งแต่ต้น เกมเริ่มต้นมาด้วยการเทรนให้เราหัดใช้การย่องเพื่อหลบศัตรู การใช้ขวดปา เพื่อเลี่ยงความสนใจศัตรู และการย่องเข้าไปปาดคอเพื่อฆ่าศัตรูให้ตายในทีเดียว รวมไปถึงการย่องเพื่อหลบกับดักและเข้าไปปลดล้อค ถึงตรงนี้หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะนั่นคืออารมณ์เดียวกับ Last of us ซึ่งในสองสามแชปเตอร์แรกเราจะได้ใช้สูตรนี้ค่อนข้างบ่อย เพราะเกมให้กระสุนและอาวุธมาน้อยมาก
แต่หลังจากผ่านไปซักระยะ ความจำเป็นที่จะต้องย่องฆ่า แทบจะหมดไป เพราะเกมเริ่มเข้าสู่การเป็นเกมแอคชั่น ด้วยการประเคนศัตรูเข้ามา รวมถึงบอส ที่ไม่มีสูตรพิเศษในการสู้มากนักนอกจากประเคนกระสุนใส่ลูกเดียว (อาจจะมีบางตัวที่ใช้ของประกอบฉากในการสู้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสำคัญ) ถึงจุดนี้ บาลานซ์ของเกมเริ่มเสีย เพราะอย่างที่บอกว่าเกมให้กระสุนมาน้อย และศัตรูไม่ค่อยดรอปของให้ ดังนั้นเราจึงต้องเริ่มเลือกที่จะไม่สู้ และใช้ปืนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่การวิ่งหนีในเกมนี้ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เพราะตัวละครเคลื่อนที่ค่อนข้างช้า และการ sprint เพื่อวิ่งหนีจริงๆทำให้ระยะสั้นๆ (แต่ว่าอัพเกรตได้) เกมเพลย์เลยเริ่มกลายเป็นความอึดอัด เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถทำอะไรได้มากเท่าที่ควร
ข้อเสียของการดีไซน์เกมแบบไม่บาลานซ์เริ่มชัดขึ้น เมื่อศัตรูในระยะหลังๆมีทั้งที่มีปืน (บอกตรงๆด้วยความเห็นส่วนตัว เกลียดเกมแนวนี้ที่ศัตรูมีปืนมาไล่ยิงเรามาก) ทั้งที่วิ่งมาฆ่าเราได้อย่างรวดเร็ว พ่วงกับกับดักที่มีติดอยู่เป็นระยะๆ ในขณะที่ขอบเขตการโจมตีของศัตรูเริ่มหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตัวละครของเรายังติดอยู่กับดีไซน์เดิม คือช้า และกระสุนน้อย คิดง่ายๆว่า เอาตัวละครจาก Resident Evil เดิม ไปสู้กับศัตรูใน Resident Evil 4 ยังไงยังงั้น แทบทุกครั้งที่สู้บอสเรียกได้ว่าแทบสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลย
เกมมีให้อัพเกรตหลักๆสามอย่าง คือความสามารถ (พลังชีวิต, ระยะเวลาในการวิ่ง) อาวุธ, และปริมาณไอเทมที่ถือได้ เรียกได้ว่า full option เลยทีเดียว แต่ที่แปลกคือ ในส่วนของอาวุธ ที่เกมออกแบบมาให้อัพเกรตให้เยอะมาก (พอๆกับ RE4) แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น กระสุนมีให้น้อย มันเลยเหมือนเกมค่อนข้างสับสนในตัวเอง คิดง่ายๆเหมือนว่าเราได้ใช้อินเตอร์เน็ตไฮสปีด แต่ถูกจำกัดความเร็วไว้ที่แค่ 56k ยังไงยังงั้น ส่วนใหญ่เลยพบว่าช่วงแรกๆจะเสียของไปกับการอัพเกรตตัวละครมากกว่าอาวุธ เพราะมันไม่มีความชัดเจนว่าจะใช้ได้มากแค่ไหนจนกระทั่งช่วงหลังๆ สรุปไม่รู้ว่าเกมจะให้เป็นเกมแอคชั่น หรือไม่แอคชั่นกันแน่ บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ศัตรูในเกมนี้ถือว่าหลากหลายมาก ที่ถือว่าเด่นคงจะเป็นการดีไซน์บอส แม้ว่าบางตัวจะโผล่มากหน่อยจนน่ารำคาญ แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นข้อเสียอะไรมาก แต่น่าเสียดายที่วิธีการสู้ไม่ค่อยจะแตกต่างกันมากนัก
อีกอย่างที่ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ นั่นคือกราฟฟิค เกมออกแบบให้แสดงภาพสัดส่วน 2.5:1 เพื่อให้ภาพแสดงใกล้เคียงกับสัดส่วนของหนังโรง ลักษณะเดียวกับที่ชินจิเคยทำกับสมัย RE4 ที่ใช้ภาพ Wide screen แต่ข้อแตกต่างอยู่ที่ ในขณะนั้นเครื่องเล่นตามบ้านกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค wide screen ซึ่งเป็นมาตรฐาน ในขณะที่ยุคนี้มันไม่ใช่ (และก็ไม่มีใครคิดจะทำทีวีตามบ้านในสัดส่วนนั้นด้วย) เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่า ใส่มาทำไม ถ้าจะบอกว่าต้องการให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังโรงภาพยนตร์ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นข้อดีได้มั้ย เพราะหน้าจอเกมที่หายไปเลย 30% มันทำให้ภาพบีบจนมองค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายๆสถานการณ์ รวมไปถึงกับปรับ FOV ที่เล็งปืนแต่ละครั้งแทบจะกลายเป็นเกม FPS
เกมมีบั้กค่อนข้างเยอะ เท่าที่เจอมาส่วนตัว ที่กระทบกับการเล่นเกมจริงๆคงเป็นเรื่องของ invisble frame กับการตัด realtime event เวลาศัตรูโจมตี ยกตัวอย่างง่ายๆ บางครั้งกระโดดหนีข้ามกำแพงไปแล้ว ดันเจอตัดฉากกลับมาเป็นโดยศัตรูกัดคอก่อนกระโดดข้ามกำแพงซะอย่างงั้น และที่หลายๆคนเจอกันอย่างเฟรมเรตตก หรือโหลดเทกเจอไม่ทัน เกมค่อนข้างมีปัญหามากพอสมควรสำหรับการใช้เอนจิ้น IDTech5 และที่แปลกคือเอนจิ้นตัวนี้เด่นในการบังคับเฟรมเรต 60Fps แต่ The evil Within กลับรันได้ไม่เกิน 30 เท่านั้น ส่วนความแตกต่างระหว่างคอนโซลเจนเก่ากับเจนใหม่ คงน่าจะเป็นแค่ Resolution ที่เจนใหม่แสดงภาพละเอียดสูงกว่า
แต่จุดเด่นที่สุดที่คงต้องยกนิ้วให้สำหรับเกมนี้คือการออกแบบฉากและแสง สวยและมีมิติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นแสงเงาในฉากมืดๆ หรือการปรับโทนบรรยากาศในจุดต่างๆที่สร้างอารมณ์ร่วมได้ค่อนข้างสูง ซึ่งไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะผู้ออกแบบฉากคือคนเดียวกันกับที่ทำ REmake , ส่วนดนตรีประกอบก็เป็นดนตรีสยองขวัญมาตรฐาน ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้พิเศษอะไรมากนัก
สรุปเลยละกัน ส่วนตัวไม่ประทับใจ จริงๆไม่ได้คาดหวังอะไรกับเนื้อเรื่องของเกมจากชินจิมากนัก เลยไม่ได้ซีเรียสอะไร เกมเพลย์ก็ถือว่าพอผ่าน จริงๆดูแล้วค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะนะ แต่มันเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างไม่ลงตัว และอย่างที่บ่นมากที่สุด เกมประสบปัญหาว่าไม่รู้จะเป็นแนวอะไร ความไม่บาลานซ์ระหว่างตัวเรา กับศัตรู ตลอดเวลาที่เล่นรู้สึกรำคาญมากกว่าสนุก หลายจุดตายง่ายมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุขแบบทีเดียวตาย) เป็นอะไรที่ทำให้การเล่นหยุดชะงักโคตรบ่อย สุดท้ายเลยกลายเป็นความอึดอัด และเล่นแค่เพื่อให้จะผ่านๆ
สำหรับใครที่เป็นแฟนเดนตายเกมแนวนี้ หรือว่าชอบความท้าทาย Evil Within อาจจะให้ประสบการณ์แบบนั้นได้ แต่สำหรับนักเล่นเกมทั่วไป แนะนำว่าให้ผ่านไปเลยดีกว่า
ข้อดี
การออกแบบฉากและแสง
ข้อเสีย
สัดส่วนภาพ 2.5:1
เกมเพลย์
บั้กเยอะ
คะแนน รวมๆเลยละกัน 6/10
Popular News
แสดงความคิดเห็น
เกมมันอึดอัดจริงๆ
ไม่ใช่อึดอัดในบรรยากาศที่น่ากลัวของเกม
แต่อึดอัดเรื่องการควบคุม การบาลานซ์เกมที่ไม่ดี
จนพาลไม่อยากจะเล่นต่อจริงๆ
ภาพก็ไม่สวยสมกับที่เป็น PS4 เลย
เฟรมเรตในคัทซีนก็ตกจนดูไม่รู้เรื่อง
โอยยย เยอะแยะไปหมด
ที่ชินจิเคยบอกว่าอยากทำเกมที่น่ากลัวจนไม่กล้าเล่นต่อ
คุณทำสำเร็จแล้วชินจิ
ฉากแรกๆสยองหนีหัวหดเลย แรกๆเน้นย่องลอบฆ่า หลังๆ แนวยิงบู้เลยครับ
มันมาก แนะนำคนที่ยังไม่ได้เล่น ซื้อเล่นเลยครับถ้าใครชอบ แนว RE4 จัดโลดดดดไม่ผิดหวังครับ
เกมมีบรรยาการกดดันสุดๆ เนื้อเรื่องน่าติดตาม กราฟิกสวยงาม เสียงประกอบก็กำลังดี
เอาเป็นว่าส่วนตัวผมชอบ และคุณก็ให้คะแนนน้อยเกิน อย่างน้อยมันควร 7.5 [--content--]
ปล.PS4 นี่เอง