มันเริ่มจาก Block chain ครับลักษณะมันจะคล้ายๆการใช้บิททอเรนท์ คือ คนทำเขาสร้างโปรแกรมให้คนสมัครใจช่วยๆกันคำนวณ มาโอนถ่ายหน่วยการการเงิน(ตัวบิทคอยด์). สมมุตินาย A โอนให้นายB 10คอยด์. จะต้องทำรายการนี้แล้วรอให้ คำนวณ+ยืนยันว่า นายB ได้คอยด์จากนายA แล้ว.

การคำนวณคือมันมีการเข้ารหัสไว้ พวกขุดจะต้องคำนวณรายการโอนถ่ายทั้งหมด แล้วแก้รหัสยืนยันใผ้ได้ด้วย คนที่คำนวณเสร็จคนแรกมันจะ แจ้งว่าคำนวณ บลอคนี้สำเร็จแล้ว+รหัสที่แก้ได้ในบลอคนี้ และคนอื่นๆจะยืนยันด้วยการเอาข้อมูลบลอคนี้ทั้งก้อนมา ถอดรหัสด้วยแก้ได้. เหมือน ข้อมูลทั้งบลอค/รหัสแก้=เท่ากับเลขจำนวนเฉพาะ. อะไรแบบนี้ คราวนี้เมื่อก่อนคนมันใช้น้อย ใช้คอมพ์เครื่องเดียวคำนวณถอดรหัสก็ได้. แต่ตอนนี้คนมันแย่งกันคำนวณที่ว่า เลยต้องรวมกันเป็นกลุ่มแบ่งกันทำงาน หรือไปสร้างโรงงานคำนวณที่ที่มีค่าไฟฟ้าถูก ใช้ทรัพยากรมหาศาลมาคำนวณถอดรหัสที่ว่านี้ โดยได้รางวัลจากระบบ(บิทคอยด์ที่เพิ่มจากการคำนวณคือรายได้จากเหมืองครับ)

เวลาคำนวณเป็นบลอคๆ จะได้ตามที่กำหนดแบบตายตัวครับ ว่าได้กี่เหรียญ ระบบจะให้ Winner take Sum คนคำนวณตามหลังไม่ได้อะไรครับ. และระบบใฟ้รางวัลจะปรับลดแบบหารครึ่งแบบ ตอนนี้ได้หมื่นเหรียญ ต่อไปอาจจะได้ห้าพันต่อบลอค สองพันห้าต่อบลอค. จนมันจะน้อยมากๆเมื่อเหรียญเข้าใกล้ลิมิตของมัน. (แต่คุณนึกดีๆว่าถ้าเราตั้งกฏว่ามีวัตถุหนึ่งจับตัดครึ่งไปได้เรื่อยๆไม่รู้จบ เราจะตัดครึ่งได้ไม่รู้จบจริงๆเวลาเราเขียนเลยครับ เพราะเราเขียนทศนิยมได้เล็กลงไปเรื่อยๆ)



ผมว่าบิทคอยด์จุดอ่อนมันเยอะนะ. ตอนนี้แค่จะทำรายการธรรมดาต้องรอยืนยัน15นาที. ถ้าพวกบัตรเครดิตหรือวอลเลต มันจะแค่พริบตาเดียวเอง. ลองติดว่าไปซื้อของเซเว่นแล้ว รอยืนยัน15นาที แต่บลอคนี้ก็ไม่เอารายการของเราเข้าไปคำนวณ แล้วต้องรออีก 15นาทีดูสิ่. แต่บัตรเครดิตทำได้ หมื่นสองพันรายการในหนึ่งนาที


อีกเรื่องคือเหมืองมันจะขุดยากเพราะบลอคขัอมูล รายการโอนถ่ายมันเยอะมากๆตามความนิยม. ปริมาณมันจะมหาศาลจน เหมืองที่ลงทุนไว้คำนวณไม่ทันในวันนึงแน่นอน เพราะสร้างฮาร์ดแวร์ให้มันมีประสิทธิภาพสูงไม่ทันความต้องการ.


แถมไอ้คอยด์ที่ว่า ก็มีคนก๊อปปีัทำกันอีกหลายๆ สกุลเหลือเกิน อัฟเกรดให้ดีขึ้นด้วย. จนกว่าคนจะยอมรับอะไรที่มันสากลที่สุด. คงจะเหลือแค่ไม่เกิน ห้าสกุล สกุลเล็กๆน้อยมันคงไม่สะดวกที่จะลงทุนรับไว้?

แถมมันมีคนบอกว่ามีลิมิตของ คอยด์สุดท้ายวันนึงมันก็แก้ได้ด้วยการแก้โค้ดดิ้งอยู่ดี. ตอนนี้หน่วยคอยด์มันราคาสูงมันก็มคนย่อยหน่วยคอยด์ เป็น Satoshi. เหมือนบาทแล้วมีสตางค์ แบบนี้อีกครับ.

เรื่องผันผวนก็เป็นอีกเรื่องที่มันไม่อำนวยให้ คนขายบริการบางอย่างรับเป็น เหรียญคริปโต เพราะรับมาปุ๊บอาจจะกำไร หลายเท่าหรือ ขาดทุนจนไม่มีค่าก็ได้

ตามที่ผมเข้าใจ
Bitcoin ไม่ได้อิงกับทรัพย์สิน สกุลเงิน หรือหุ้นของนิติบุคคลใด มูลค่าของมันขึ้นกับความเชื่อล้วนๆ แต่สงสัยว่าแล้วความเชื่อมันมาจากไหน ทำไมมูลค่ามันเพิ่มลดได้ เอาอะไรเป็นเกณฑ์
Bitcoin เป็นระบบปิดเฉพาะระหว่างคนที่เล่น Bitcoin ด้วยกัน ไม่มีธนาคารกรือหน่วยงานรัฐใดเข้าไปตรวจสอบการเปลี่ยนมือของเงินนั้น ตางนี้ผมมองว่ามันใช้เป็นแหล่งฟอกเงินได้อย่างดีเลย เช่นเอาเงินที่ได้จากการค้ายาบ้าไปแลกเป็น Bitcoin แล้วค่อยเอาเงินนั้นไปแลกเป็นเงินสดกลับมาอีกทีพอโดนรัฐตรวจก็อ้างว่าเงินสดนี้ได้เป็นกำไรจากการแลกเปลี่ยน Bitcoin เจ้าหน้าที่รัฐก็ตรวจสอบย้อนหลังไม่ได้ว่าเงินนี้มาจากไหน(หรือมันตรวจได้หว่า)
ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร แต่ต่อไปถ้าทะลึ่งใช้ bitcoin ชำระค่าสินค้าราคาสูงแล้วเกิดมีการผิดสัญญา เช่นไม่ส่งของหรือของชำรุดบกพร่องขึ้นมาต้องขึ้นศาลมันมีปัญหาแน่ว่าศาลจะรับรองให้การชำระหนี้ด้วย bitcoin เป็นการชำระหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเท่าที่ดู นอกจาก bitcoin อาจถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินแล้ว มันก็ไม่มีประเทศไหนรับรอง bitcoin เลย จีนกับเกาหลีใต้ก็จะแบน bitcoin แล้วด้วย

[Link]

ต้องไปทำความเข้าใจ blockchain ซะใหม่นะครับ

พอเข้าสู่ช่วงฟองสบู่ ก็มักจะแห่มะรุมมะตุ้มกัน