Menu
[--mobilemenu--]
บราวเซอร์ของท่านไม่สนับสนุนหรือปิดการใช้งาน javascript ซึ่งจะไม่สามารถใช้งานไซต์บางส่วนเช่นการเข้าลิ้งค์ หรือโพสข้อความได้ตามปกติ, กรุณาเปิดการใช้งาน javascript เพื่อที่จะใช้งานเว็บ gconhubม หากมีปัญหาในการใช้งาน หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ [email protected] หรือ [email protected]
มีใครที่คิดว่าถ้าจะออกรถใหม่ จะ ออก BEV แทนรถสันดาบไหมครับ

Reply
Vote
# Mon 11 Mar 2024 : 6:29PM

HellRaiZer
member

Since 22/2/2010
(2079 post)
พอดีผมมาลองขับ Hyundai Ioniq 5 ที่ Ioniq Lab ใน True Digital Park (ที่จริงขับไปนานแล้วแหละแต่พึ่งเอามาลง)

สถานที่ทำมาได้เจ๋งดี ไม่ได้มีแค่รถมาจอดโชว์เฉยๆ แต่มีส่วนที่จัดแสดงคล้ายๆ mini museum ด้วย มีเอาแขนหุ่นยนต์มาจำลองการยกประกอบ battery
จุดที่จะไปขึ้นขับรถ จะมีคล้ายๆหุ่นยนต์สไลด์รถเข้ามาจอดต้อนรับเราถึงที่ ดูล้ำดี แถมในจอก็มีขึ้นชื่อเราด้วย
ตอนลงทะเบียนทดลองขับมีให้เลือกแบบ 2 แบบคือ
(1) Basic test driving คือขับไปเมกะบางนา
(2) Long distance driving คือขับไปเส้นที่อยู่หลังสนามบินสุวรรณภูมิ (ขับขึ้นทางด่วนได้)
อันนี้ผมเลือกขับแบบ Long distance



รุ่นที่ได้ลองคือตัว First Edition (ตัวท๊อป) เป็นแค่มอเตอร์เดี่ยวเลยอาจจะไม่ได้แรงมาก อัตราเร่งอยู่ระดับเดียวกับ BYD Dolphin extended range คือตอนเหยียบคันเร่งลงไปจะไม่ได้พุ่งพรวด แต่ไปแบบ smooth ซะมากกว่า ถึงจะปรับเป็นโหมด sport ก็ไม่ได้พุ่งแรงแบบกระชาก
ตอนแรกที่เหยียบเบรครู้สึกมัน sensitive ไป เบรคแบบจึกๆ หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่า ออ....มันปรับเบรคเป็นแบบ sport เอาไว้ พอปรับเบรคเป็น normal ถึงรู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติกว่า ไม่ได้รู้แปลกๆแบบรถไฟฟ้าหรือรถ hybrid บางรุ่น แล้วโหมดการเบรคก็เลือกปรับได้อิสระ แยกจากโหมดการขับขี่

แรงหน่วงจากการ regen กดปรับระดับได้ที่ paddle shift หลังพวงมาลัย ชอบตรงนี้เพราะไม่ต้องไปกดในจอ
- level 0 คือไม่มีหน่วงเลย เหมือนรถเกียร์ธรรมดาที่เข้าเกียร์ว่างหรือเหยียบคลัชจนสุดแล้วปล่อยไหล
- level 1 เหมือนรถเกียร์ AT ทั่วไป
- level 2 เหมือนเกียร์ AT แล้วใช้ engine break หน่วงตอนลงเขา
- level 3 เหมือนเกียร์รรมดา แล้วใช้ engine break หรืออาจจะหน่วงกว่านั้นหน่อย แล้วใน level 3 ถ้ากดให้มันหน่วงลงอีกครั้ง มันจะเป็น one paddle ได้ด้วย

พวงมาลัยตอนจอดอยู่เฉยๆ หรือขับช้าๆ น้ำหนักเบาพอๆกับ Nissan Almera หรือ Honda City คือเบามาก ต้องตอนวิ่งถึงเริ่มรู้สึกหนักขึ้นมา น้ำหนักตอนวิ่งตรงจะตึงๆหน่อย เหมือนมันมีช่วงหนืดของมันอยู่
ความไวอัตราทดพวงมาลัยไม่ได้ไวมาก ถือว่ากลางๆ ตอนขับทางไกลก็ไม่ต้องเกร็งมือขับจนเมื่อย แต่พวงมาลัยไม่มี feedback จากถนนเลย หรือมีก็น้อยมากๆ แต่รวมๆถือว่าเป็นธรรมชาติอยู่ไม่หลอน
ถ้าเทียบกับ BYD Seal รู้สึกว่าน้ำหนักพวงมาลัยช่วงกลางพอๆกับ Seal ในโหมด sport แต่ Seal อัตราทดพวงมาลัยมันไวกว่า พอขับทางตรงต้องเกร็งมือกว่า รถมีอาการว่อกแวกมากกว่า

ช่วงล่างออกไปแนวนิ่มโดยเฉพาะด้านหลัง ยังพอมีอาการเด้งขึ้นลงอยู่บ้างตอนเจอฝาท่อหรือถนนที่ไม่เรียบ แต่ไมได้ย้วยหรือเด้งยวบยาบแบบ Seal Performance
ลองเปลี่ยนเลนกระทันหันที่ความเร็ว 100 รถมีอาการโยนกับโคลงตัวอยู่พอสมควรตามสไตล์รถหนัก แต่อาการยังนิ่งกว่า Seal ตอนเปลี่ยนเลนที่ความเร็ว 85 แต่ยังไม่ได้ลองขับแบบมุดๆหรือสาดโค้งหนักๆ (เกรงใจ instructor ที่เขานั่งมาด้วย)
ตอนเบรคแรงหรือเหยียบคันเร่งหนักๆ รู้สึกมีอาการยุบตัวจากถ่ายน้ำหนักหน้า-หลังค่อนข้างเยอะ
ส่วนตัวยังอยากได้ช่วงล่างที่แน่น firm กว่านี้อีกหน่อย อาจจะโช้คที่หนืดกว่านี้

ส่วนอื่นๆที่ยังขัดใจอยู่นิดหน่อยก็พวก
- ปุุ่มปรับแอร์อุตส่าห์แยกจากจอกลางแล้วแต่ดันเป็นระบบสัมผัส เลยยังกดไม่ถนัด อยากได้เป็นปุ่มหมุนๆมากกว่า
- ช่อง USB ยังเป็นแบบ Type-A อยู่ ตรงนี้ไม่ติดขัดอะไรมาก
- ด้านซ้ายหน้าจอกลางรู้สึกอยู่ไกลไปหน่อย ต้องเอื้อมมือไปกด แล้วกรอบหน้าจอที่เป็นสีขาวมันดูแปลกๆ อยากให้เป็นสีดำมากกว่า
- ไม่มีที่ปัดน้ำฝนหลัง อันนี้เคือง เพราะรถแนว Hatchback/SUV มีลมหมุนด้านท้ายเยอะ
- มือจับเปิดประตูด้านนอกจับไม่ค่อยถนัด เพราะมันกระดกออกมาแค่ครึ่งเดียว ชอบแบบ Seal ที่มันยื่นออกมาทั้งอันมากกว่า แต่ยังไงก็จับถนัดกว่าของ Tesla อยู่ดี
- ปุ่มปรับระดับระยะห่างจากคันหน้าของ ACC ไม่ได้เป็นแบบเพิ่ม/ลดแยกกัน แต่เป็นแบบปุ่มเดียวกด toggle เอา คือกดลดระยะอย่างเดียว ถ้าจะเพิ่มระยะห่างต้องกดปุ่มเดิมซ้ำๆให้มันวนมาใหม่
- ไม่มีรุ่น Dual motor AWD มาขาย
- ราคาก็เข้าใจแหละว่ามันนำเข้าเกาหลี เลยยังต้องเสียภาษีอยู่ ทำราคาได้เท่านี้ถือว่าดีมากแล้ว แต่ยังอยากให้มีประกอบอินโดหรือไม่ก็ในประเทศ ราคาจะน่าดึงดูดกว่านี้

แต่ข่าวดีคือ เห็นว่ารุ่น facelift ที่เปิดตัวในเกาหลี เพิ่มที่ปัดน้ำฝนหลังกับ USB-C มาให้แล้ว
จอกลางเปลี่ยนกรอบจอเป็นสีดำและมีอัพเดต OTA แล้ว และเพิ่มแบตจาก 77.4 kWh เป็น 84 kWh
[Link]




ส่วน Ioniq 5 N อันนี้มาจอดโชว์เฉยๆ ได้เข้าไปนั่งแล้วชอบติดใจ ดูแค่พวงมาลัยก็น่าขับแล้ว เบาะถึงจะเป็นแบบปรับมือแต่เป็นเบาะ bucket seat นั่งแล้วชอบกว่าตัวธรรมดา
ช่อง USB-C มีมาให้หมดทุกช่อง แถมมีที่ปัดน้ำฝนหลังด้วย แก้จุดที่ยังขัดใจในตัวธรรมดาได้
ดูในสื่อเมืองนอก test ก็รู้แล้วว่าเป็นรถไฟฟ้าที่ทำมาให้คนชอบขับรถจริงๆ

Reply
Vote




1 online users
Logged In :